สังคม

"นฤมล" ดัน "ประวัติศาสตร์" วิชาหลักสอบเข้าเรียนต่อ "อ.สมพงษ์" ค้าน มองนโยบายตามกระแส

19 ส.ค. 2568

80 views

"ดร.สมพงษ์ จิตระดับ " ไม่เห็นกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ "นฤมล" ดันวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เป็นวิชาหลัก สอบเข้าเรียนต่อ ม.1 และ ม.4 ชี้ ไม่ใช่วิชาที่ใช้ท่องจำเพื่อสอบ แต่เป็นการคิดวิเคราะห์และเข้าใจบริบทที่แท้จริง ยอมรับสถานการณ์การศึกษาไทย น่าเป็นห่วง เพราะไม่ได้คน ที่อยู่ในวงการศึกษา มาดูแลระบบการศึกษาที่แท้จริง



แนวนโยบายการศึกษานี้ มาจากที่ คุณนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไปพูดกับนักเรียนและครู ขณะลงพื้นที่โรงเรียนพะเยาวิทยาคมเมื่อวานนี้ ช่วงหนึ่งได้พุดว่า "ในการกำหนดนโยบายการศึกษา ก็มีหลายเรื่องที่ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองฝากมาให้ขับเคลื่อน โดยเฉพาะในเรื่องของวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รับโจทย์ดังกล่าวไปแล้ว และก็ได้ดำเนินการขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้



ทั้งนี้ดิฉันอยากกำหนดให้วิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เข้ามาเป็นวิชาสำคัญ หรือวิชาเอก มาใช้ในการสอบเข้าระดับ ม.1และ ม.4 ไม่ใช่วิชาที่สอบเพื่อเลื่อนชั้นหรือจบภาคการศึกษาเท่านั้น เพราะระบอบการปกครองของไทยไม่เหมือนชาติอื่นในโลก ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงฝากให้หลักสูตรนี้ชัดเจน มีความสำคัญเท่าเทียมกับ วิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์"



เรื่องนี้ ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์พิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิชาการด้านการศึกษา ไม่เห็นด้วย กับแนวคิดนี้ เพราะเป็นการเน้นผิดที่ เนื่องจากวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ไม่ใช่มีไว้เพื่อเน้นการสอบ การท่องจำ แล้วสอบเพื่อศึกษาต่อ แต่การเรียนรู้ เพื่อฝึกตั้งโจทย์คำถาม การคิด การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การสรุปประเด็น การลงมือปฏิบัติ การลงพื้นที่ศึกษาเรียนรู้ในพื้นที่ต่างๆ



อีกประเด็นที่สำคัญ ต้องเข้าใจว่า การศึกษาไม่ได้มีหน้าที่ไปตอกย้ำเรื่อง ความอคติ หรือ ชาตินิยม ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน การศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ต้องสอนบนหลักการ ให้คนอยู่ร่วมกัน เป็นพลเมืองไทย เป็นพลเมืองอาเซียนได้ด้วยความเข้าใจ ต้องไม่อยู่ร่วมกันด้วยความขัดแย้ง



อาจารย์สมพงษ์ กล่าวด้วยว่า การที่คุณนฤมล ให้นำวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ต้องใช้สอบเข้าเรียนต่อ จะเป็นลักษณะคล้ายกับ รัฐบาลในยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาเฉพาะ แต่ไม่ได้มองเรื่องโครงสร้างและตัวระบบ ที่ขณะนี้หลักสูตรกลายมาเป็น หลักสูตรแบบฐานสมรรถนะ ไม่ได้แยกออกมาเป็นรายวิชา



ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องระมัดระวัง ในการให้นโยบาย ถ้าให้แล้วไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การศึกษาที่กำลังเป็นอยู่ จะมีผลต่อระบบการศึกษา ที่ผู้ให้นโยบายต้องไปทบทวน เพราะการศึกษาไม่ใช่การให้สำคัญเพียงรายวิชาใดรายวิชาหนึ่ง



สิ่งที่เกิดกับระบบการศึกษาไทยปัจจุบัน พบว่า เปลี่ยนแปลงแบบผิวเผิน แต่ไม่ได้ลงลึก ในโครงสร้างระบบการศึกษาทั้งหมด อย่างเช่น จากเดิมนโยบายเรียนดีมีความสุข ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเรียนดีมีคุณธรรม ถ้ารัฐมนตรีฯศึกษาธิการ ไม่ใช่เป็นคนในระบบการศึกษา ประเทศไทยก็ต้องทนอยู่กับนโยบายการศึกษาแบบผิวเผินเช่นนี้ต่อไป นโยบายที่เห็น ก็เป็นไปตามกระแส หรือนโยบายเกี่ยวกับการหาเสียง ตรงนี้เป็นเรื่องน่าเป็นห่วง



หากมองในภาพรวมการศึกษาไทยปัจจุบัน อ.สมพงษ์ กล่าวว่า มีสภาพน่าเป็นห่วงมากกว่าดีขึ้น เพราะคนที่เข้ามาดูแลระบบการศึกษาไม่ใช่คนที่เข้าใจปัญหาการศึกษาของไทย ไม่เข้าใจเรื่องโครงสร้างและระบบ ไม่เข้าใจสิ่งที่ต้องทำในขณะนี้ และสิ่งที่ต้องวางแผนในอนาคต แต่สิ่งที่กำลังให้นโยบาย เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระแสและคะแนนนิยม แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการศึกษาให้ดีขึ้น


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/WhHn34eapgw

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ