สังคม

8 ปีแล้วยังต้องสู้ต่อ พ่อ-แม่ "น้องเมย" ร่ำไห้ เล่าเหตุการณ์ลูกถูกทำร้ายซ้ำๆ

23 ก.ค. 2568

72 views

คดีการเสียชีวิตของน้องเมย นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ อดีตนักเรียนเตรียมทหาร ชั้นปีที่ 1 ยังถูกพูดถึงต่อเนื่องถึงวันนี้ โดยเฉพาะ การเดินหน้าคดีอื่นๆ ของครอบครัวจะไปในทิศทางไหน วันนี้พ่อและแม่ของน้องเมยมาออกรายการโหนกระแส เริ่มต้นมาคุยแม่ร้องไห้เลย บอกว่า ไม่คิดว่ายังต้องมาออกรายการทวงความเป็นธรรมให้ลูก ส่วนหลังจากนี้ คดีที่เดินหน้าต่อแน่ๆ คือ กรณีที่อวัยวะน้องเมยหายไป



โหนกระแสวันนี้ พ่อและแม่ของน้องเมย นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ อดีตนักเรียนเตรียมทหาร ชั้นปีที่ 1 ซึ่งเสียชีวิตในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อ 8 ปีก่อน มาร่วมออกรายการ ไม่คิดว่าต้องมาทำเรื่องนี้อีก แม่ก็ไม่คิดว่าต้องมานั่งตรงนี้อีก เราพยายามเดินสู่กระบวนการ โดยไม่มีใครเข้ามาช่วย แม้แต่ขอให้ตำรวจทำสำนวน ยังถูกพูดเลย ว่า คดีลูกคุณสิ้นเปลืองงบประมาณ (คนพูดเกษียณไปแล้ว) แม่บอกว่า มันเจ็บนะ เราไปจู่จี้เขามากหรอ ลูกเราตายไปทั้งคน



อีกคนเจ้าของสำนวนคดี ชันสูตร เราไปฟังผลแพทย์นิติฯ แล้ว สุดท้ายสำนวนมันคนละเรื่อง ตำรวจบอกคุณแม่เข้าใจผมนะ ลูกผมยังเล็ก ผมยังไม่อยากตาย แล้วพี่หนุ่มว่าแม่เองจะพึ่งใครอะ



จากนั้น ทั้งพ่อและแม่ของน้องเมย ไล่เรียงย้อนเหตุการณ์ที่น้องเมยถูกธำรงวินัย คุณแม่บอกว่า จุดเริ่มต้นเกิดจากเรื่องบันได รุ่นพี่กล่าวหาว่าน้องเมยใช้บันไดโดยพละการ น้องเมยบอกรุ่นพี่ว่า มีรุ่นพี่อีกคนให้ใช้แล้ว แต่รุ่นพี่ไม่เชื่อบอกว่า มึงโกหก คุณแม่น้องเมยบอกว่าคำนี้มันติดใจแม่มา 8 ปี หาว่าลูกของแม่โกหก



ต่อมากองทัพสอบสวน เราเป็นคนนอกเราไม่รู้ เราต้องไปหาขอข้อมูล เพื่อขอเรียกเอกสาร ใช้เวลาไปปีกว่า สุดท้ายเรื่องทำร้ายร่างกายส่งศาลไปแล้ว น้องเมยถูกมองว่าเป็นเด็กโกหก ทำผิดระบบกิตติศักดิ์ แค่เรื่องบันไดเอง ที่ทำให้น้องเมย หมดสติไป 30 นาที แล้วหมอให้การกับศาลว่า ใช้การกู้ชีพขั้นสูง



คุณแม่ยังไล่เรียงว่า ลูกชายกลับบ้านมาช่วง 11 ตุลาคม 60 บอกพ่อแม่ว่า ตกบันได จึงพาไปโรงพยาบาล ตรวจอย่างละเอียด หัวใจปกติ กระดูกปกติ  ปัสสาวะปกติ มีแค่อาการฟกช้ำนิดหน่อย จากนั้น 13 ตุลาคม พาลูกกลับไปส่งที่โรงเรียน ถัดมา 2 วัน 15 ตุลาคม น้องเมยถูกธำรงวินัยหนักจนถูกพามส่งกองแพทย์ ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 17 ตุลาคม 60



ทั้งคุณพ่อ และคุณแม่น้องเมย เล่าว่า คืนวันที่ 16 ตุลาคม ต่อเนื่องถึงเช้า 17 ตุลาคม เขาเชื่อว่าเป็นคืนที่หนักมากสำหรับลูกเขา คุณพ่อบอกว่าเคยถามลูกด้วยซ้ำว่าทำไมตกบันได้บ่อย ลาออกไหม เลิกเรียนไหม แต่น้องเมียไม่กล้าพูด คุณแม่บอกว่า น้องเมยพูดแค่ว่า ผมอยากเรียนครับ รวมถึงลูกเคยบอกด้วยว่า พูดได้แค่นี้ ถ้าพูดมากกว่านี้รุ่นพี่จะไม่ได้เรียนต่อ



คุณแม่ยังย้อนเล่าว่า น้องเมยถูกธำรงวินัยตั้งแต่สิงหาคม ตอนนั้นมีใบรับรองแพทย์บอกว่า ให้หยุดพักการฝึก แต่ปรากฎว่าเวลาน้องเมยลงจากกองแพทย์มาเจอรุ่นพี่ ก็จะโดนซ่อมซ้ำตลอด แม่ตั้งคำถามว่า แบบนี้บาดแผลจะหายเมื่อไหร่ ความเจ็บจะหายเมื่อไหร่ โดนซ้ำโดนซากโดนจนวันตาย คุณแม่ยืนยันว่าข้อมูลเหล่านี้แม่รู้เพราะเดินขึ้นไปที่กองแพทย์ไปขอเอกสารทั้งหมด วิ่งไปถึง จปร. เรามีเอกสารแค่นี้ที่ใช้สู้กับเขา



อีกช่วงของโหนกระแส มีการพูดกันถึงอวัยวะของน้องเมยที่หายไปหลังผ่าชันสูตร

มีการไล่เรียงว่า การผ่าชันสูตรของน้องเมยเกิดขึ้น 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผ่าเมื่อ 17 ตุลาคม 2560 จากนั้น 19 ตุลาคม 2560 โรงพยาบาลคืนร่างให้ครอบครัว แต่เมื่อรับมา พี่เมี่ยง พี่สาวของเมยมีเพื่อนอยู่ในแวดวงทหาร เตือนว่าอย่าเพิ่งเผาน้อง ทำให้พี่เมี่ยงบอกพ่อแม่ว่าจะยังไม่เผาน้องชาย



จากนั้น 1 พฤศจิกายน 2560 ครอบครัวส่งร่างน้องเมยไปที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อผ่าร่างครั้งที่ 2 ปรากฎว่าผ่าออกมาไม่เจออวัยวะภายในหลายอย่าง เช่น หัวใจ สมอง กะเพาะ หายไป มีเพียงผ้าก็อต ทิชชู่ยัดอยู่ภายใน จึงนำมาซึ่งการทวงคืนอวัยวะน้องเมย ซึ่งต่อมามีการคืนใส่กล่องโฟมมาให้ แต่เมื่อนำไปตรวจดีเอ็นเอ พบว่า ไม่เข้ากัน ในโหนกระแสมีการโฟนอินพี่เมี่ยงพี่สาวของน้องเมยเข้ามาพูดคุยประเด็นนี้เพราะเป็นคนที่รู้รายละเอียดมากที่สุด



พี่เมี่ยง บอกว่า ในรายการคืนอวัยวะ 2 รายการมา คือ สมอง กับอวัยวะอีก 1 อย่างซึ่งเธอจำไม่ได้ว่าเป็นอะไร แต่ในรายงานบอกว่า ไม่พบสารดีเอ็นเอ ส่วนที่เหลือ เขียนว่าพบสารพันธุกรรม แต่มีปริมาณน้อยมาก จนไม่สามารถระบุ หรือ เปรียบเทียบได้ว่าเป็นของใคร



ขณะที่ รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ที่มาร่วมรายการ ให้ข้อมูลว่า การที่แพทย์ระบุว่า ดีเอ็นเอในอวัยวะไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่าใช่อวัยวะของน้องเมยหรือไม่ เกิดขึ้นเพราะ อวัยวะแช่ในฟอมาลีน ฟอมาลีนรบกวนดีเอ็นเอ ทำให้ดึงสารพันธุกรรมออกมาได้ ถือเป็นการตรวจยากลำบากในเทคโนโลยีตอนนั้น จึงสรุปไม่ได้ว่าอวัยวะเป็นของใคร ใช่ของน้องเมยหรือไม่



ส่วนเรื่องอวัยวะหายเป็นอีก 1 คดีที่ครอบครัวดำเนินคดีกับแพทย์ แต่จนถึงปัจจุบันคดีความยังไม่คืบหน้า ยังอยู่ในกระบวนการขั้นตอนเรียกสอบปากคำ ซึ่งล่าสุดมีข้อมูลว่า คุณหมอเพิ่งไปให้ปากคำเมื่อไม่นานมานี้ หลังก่อนหน้านี้ไม่ไปตามหมายเรียก 2 ครั้ง และตำรวจไม่ได้ดำเนินการออกหมายจับใดใด



ช่วงโหนกระแสออนไลน์ มีการพูดถึงหลังจากนี้ยังทำอะไรได้อีกหรือไม่ ทนายแก้ว มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล บอกว่า คดีอาญามันจบแล้ว สิ่งที่ดูต่อไปได้คือเรื่องค่าปรับทางแพ่งสังกัดว่าจะเยียวยาจ่ายค่าช่วยเหลืออย่างไร ในส่วนของโรงเรียนเตรียมทหาร ส่วนเรื่องอวัยวะหาย การฟ้องร้องแพทย์ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์เอาไปซึ่งศพเสียสภาพ ยังเดินหน้าได้ ส่วนตำรวจหากละเว้น ล่าช้า เพิกเฉย ก็ต้องไปแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจในข้อหา 157



ช่วงหนึ่งทนายแก้ว ย้อนพูดถึงกรณีที่ครอบครัว บอกว่า น้องเมยถูกทำร้ายหลายครั้ง โดยบอกว่า ถ้าอยู่ในศาลพลเรือนจะมีการเรียงกระทงความผิด กระทำแล้ว กระทำอีก จะต้องมีการบรรยายการทำร้ายร่างกาย ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 จนเป็นเหตุถึงแก่ความตาย มองว่า เหตุแบบนี้ ถ้าเอามาเรียงกัน ยังไงถ้าไม่มีการเยียวยาตามมาตรา 56 ศาลยุติธรรมไม่มีการรอลงอาญา



คุณแม่น้องเมยฟังแล้ว ยกมือไหว้ขอบคุณทนายแก้ว ที่ทำให้รุ้ว่าต้องไล่กรรม เพราะ คดีที่ตัดสินไป ฟ้องไปก็ถูกตีตกหมดเลยมันได้คดีเดียว



เมื่อถามถึงผู้กระทำผิดเคยมาขอโทษหรือพูดอะไรด้วยหรือไม่ พ่อและแม่ยืนยันว่า ไม่เคยมาขอโทษพ่อกับแม่เลย เขาให้การปฎิเสธอย่างเดียว



อีกช่วง พ่อของน้องเมย ย้อนตั้งคำถามเรื่องคนที่มีคดีอาญาแล้วรับราชการได้หรือ เป็นตำรวจได้ยังไง พ่อรับไม่ได้ที่เขา (คู่กรณี) ใส่เครื่องแบบ จึงอยากฝากเรื่องถึงผู้บัญชาการแห่งชาติว่าจะให้คนลักษณะนี้ ใส่เครื่องแบบเป็นตำรวจอยู่มั้ย



เขาติดยศครั้งแรกเป็นร้อยตำรวจตรี และขึ้นไปเป็นร้อยตำรวจโทได้ยังไง สงสัยว่า ก.ตร. พิจารณายังไง ให้ขึ้นยศได้ไง ทั้งที่มีคดีอยู่



นอกจากนี้ ยังมีคนในโรงเรียน fc โรงเรียน มีการกล่าวหาว่าเมยทำให้สถาบันเสื่อมเสีย แม่บอกว่า "เมยรักโรงเรียน แล้วเรากล้าจะไปทำร้ายแม้แต่สถาบันนี้ได้ยังไง เรารักลูกเรา ลูกเราชอบสิ่งไหน เราต้องเคารพ " แต่ทีนี้ทำเป็นว่าเมยเป็นตัวต้นเรื่อง



แม่เสริมว่า นักเรียนรุ่นพี่คนนี้มีตำแหน่งเป็นคอมมาน ซึ่งเค้าต้องมีวุฒิภาวะมากกว่าคนอื่น แต่คุณกลับทำผิดเอง



โดยหลังจากนี้ ทนายแก้วแนะนำว่า ต้องเอาหนังสือไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา รวมถึงคำเบิกความว่าตัวของบุคคลคนนี้ทำผิด ลองยื่นเข้าไปดูว่าผู้บังคับบัญชาในต้นสังกัด จะชะลอหรือว่าอย่างไร



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/yfWjCNZAx1Q

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ