สังคม
ดร.หนุ่มถูกแก๊งคอลฯ หลอกคุยโทรศัพท์ 7 วัน 7 คืน ก่อนสั่งโอนเงินสูญกว่า 8 ล้าน
1 พ.ค. 2568
664 views
วิศวกร อายุ 32 ปี เดินทางเข้าร้องทุกข์กับคุณเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ บังคับให้โอนเงินกว่า 8 ล้านบาท ในห้วงเวลา 7 วัน
คุณศิวัช เล่าว่า เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา โดยได้รับสายจากมิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นดีเอสไอ แจ้งว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเปิดบัญชีม้า ก่อนจะออกอุบายให้แอดไลน์ และเปิดกล้อง video call มา
โดยก่อนหน้านี้ ได้ส่งเอกสารการอายัดมา และบอกว่าให้โอนเงินไปเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งในขณะนั้น มิจฉาชีพ จะให้ตนอยู่ภายในห้องคนเดียว ทำให้ตนรู้สึกตกใจเพราะยังข่มขู่ว่าหากไม่ทำตาม จะถูกอายัดทรัพย์สินทั้งของตน และคนในครอบครัวทั้งหมด จึงยอมกระทำตามคำสั่ง
ซึ่งพฤติการณ์คือ ให้ตนคุยกับบุคคลแรกที่เป็นผู้หญิง แล้วหลังจากนั้นก็จะสายต่อให้สายต่อๆ ไปเรื่อยๆ รวมเบ็ดเสร็จเท่าที่นับได้ 5 คน ตร.คนแรกเป็นคนแจ้งเรื่องว่าโดนคดี คนที่ 2 เป็นตำรวจชั้นผู้น้อย คนที่ 3 เป็นผู้กำกับการ คนที่ 4 เป็นตำรวจที่มาคอยจับตาดู 24 ชม. และ คนที่ 5 เป็นผู้ช่วยตำรวจคนที่ 4
ซึ่งการถือสายในการพูดคุยครั้งนี้ ใช้ระยะเวลาไปถึง 7 วัน 7 คืน ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ถึง11 เมษายน โดยห้ามวางสาย
และจะออกอุบายให้โอนเงินออกไปเรื่อยๆ ในบัญชีที่แตกต่างกัน รวม 11 ครั้ง จากไป 5 บัญชี 4 ธนาคาร รวม 8,465,084 บาท
และคนร้ายพยายามตรวจสอบว่าตนเองมีทรัพย์สินอะไรที่เป็นชื่อเจ้าของเพียงคนเดียวให้เอามาให้หมดเพื่อมาแปลงเป็นทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ที่จะให้ไปจำนอง มูลค่าหนึ่งล้านบาท แต่เคราะห์ดีที่ธนาคารปฏิเสธ
แต่คนร้าย ก็ยังให้เอาบัตรเครดิตของตนไปกดเงินสดออกมาทั้งหมด จนบัตรเครดิตเต็มวงเงิน และให้โอนให้คนร้าย
รวมถึงเมื่อทราบว่าคุณศิวัช มีสลากออมสินมูลค่ากว่า 2 ล้าน 5 แสน และสลากดิจิตอลอีก 1 แสน 7 หมื่นบาท ก็บอกให้คุณศิวัช เดินทางไปกลับที่หาดใหญ่ เพื่อนำสลากออมสินมาเพื่อแปลงเป็นเงินโอนให้อีกด้วย
โดยตลอดการเดินทางก็ยังคงให้ค้างสายตลอด แม้แต่ตอนที่ได้สลากไปแล้ว และจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ มิจฉาชีพก็ยังให้ตนเซลฟี่รูปคู่กับตั๋วเครื่องบิน เพื่อยืนยันว่าขึ้นเครื่องแล้วจริงๆ โดยบอกว่าให้ค้างสายไว้จนสายตัด พอเครื่องลง ก็จะติดต่อมาอีก
เมื่อสอบถามว่าทำไมถึงไม่เอะใจถึงพฤติกรรมดังกล่าว นายศิวัช บอกว่า ปนไปอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศเป็นเวลา 9 ปี ซึ่งไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนกระทั่งกลับมามาถึงที่ประเทศไทย และอาศัยอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ปี ก็พบว่าตลอดระยะเวลาที่อาศัยในประเทศไทยนั้น ก็มีเบอร์มิจฉาชีพโทรเข้ามาอยู่บ่อยครั้ง แต่ตนก็จับได้ทุกครั้งแต่ในครั้งนี้กลับมีความแนบเนียนในการหลอกลวง และด้วยความกลัวตนจึงต้องทำตามอีกฝ่ายที่ได้ข่มขู่มา
กระทั่งวันที่ 11 เมษายนตน คนร้ายให้ ตนโทนศัพท์ไปขอเงินทางคุณพ่ออีก ตนเองจึงโทรไปและพ่อก็พยามซักถามว่าจะเอาไปทำอะไร แต่เป็นเพราะว่าปกติตนเองไม่โกหก และตอบคำถามไม่ได้ พ่อเลยถามว่าใครสั่ง ให้โอน ตนจึงบอกพ่อไป ก่อนที่พ่อจะบอกว่า "อย่าโอนเงิน" จึงรู้ตัว และทางครอบครัวก็พยามแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากนั้นตนก็ไปแจ้งความที่ สภ.คลองหลวง ซึ่งสอบถามกับทางตำรวจเมื่อตอนสัปดาห์ที่ผ่านมาบอกว่า อยู่ระหว่างรอการรวบรวมเอกสารจากทางธนาคารมาให้ตำรวจ แล้วจะออกหมายจับภายหลัง ซึ่งส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าจะได้เงินคืนหรือไม่ แต่ตอนนี้ ต้องเอาเงินเก็บที่เหลืออยู่ไปจ่ายบัตรเครดิตที่คนร้ายให้กดไป ทำให้เงินก้อนนี้ที่ต้องเอามาใช้ต่อลมหายใจร้านอาหารย่านคลองสามของตนเอง ก็กลายเป็นว่าอาจจะต้องปิดร้านลง แล้วไปเช่าเพื่อเปิดร้านที่เล็กลง
ทางด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้เปิดเผยหลังจากที่รับฟังเรื่องราวดังกล่าวว่า ทางเพจฯ จะประสานไปยังผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ เพื่อให้ติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษต่อไป
ชชชชชชชชชชชชชชช
ดร.หนุ่มถูกแก๊งคอลฯ หลอกคุยโทรศัพท์ 7 วัน 7 คืน ก่อนสั่งโอนเงินสูญกว่า 8 ล้าน
ด็อกเตอร์หนุ่มโดนเอง แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ บังคับคุย 7 วัน 7 คืน ถูกสั่งโอนเงินกว่า 8 ล้านบาท
ดร.ศิวัช วิศวกรอายุ 32 ปี เดินทางเข้าร้องทุกข์กับคุณเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ บังคับให้โอนเงินกว่า 8 ล้านบาท ในห้วงเวลา 7 วัน
คุณศิวัช เล่าว่า เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา โดยได้รับสายจากมิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นดีเอสไอ แจ้งว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเปิดบัญชีม้า ก่อนจะออกอุบายให้แอดไลน์ และเปิดกล้อง video call มา
โดยก่อนหน้านี้ ได้ส่งเอกสารการอายัดมา และบอกว่าให้โอนเงินไปเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งในขณะนั้น มิจฉาชีพ จะให้ตนอยู่ภายในห้องคนเดียว ทำให้ตนรู้สึกตกใจเพราะยังข่มขู่ว่าหากไม่ทำตาม จะถูกอายัดทรัพย์สินทั้งของตน และคนในครอบครัวทั้งหมด จึงยอมกระทำตามคำสั่ง
ซึ่งพฤติการณ์คือ ให้ตนคุยกับบุคคลแรกที่เป็นผู้หญิง แล้วหลังจากนั้นก็จะสายต่อให้สายต่อๆ ไปเรื่อยๆ รวมเบ็ดเสร็จเท่าที่นับได้ 5 คน ตร.คนแรกเป็นคนแจ้งเรื่องว่าโดนคดี คนที่ 2 เป็นตำรวจชั้นผู้น้อย คนที่ 3 เป็นผู้กำกับการ คนที่ 4 เป็นตำรวจที่มาคอยจับตาดู 24 ชม. และ คนที่ 5 เป็นผู้ช่วยตำรวจคนที่ 4
ซึ่งการถือสายในการพูดคุยครั้งนี้ ใช้ระยะเวลาไปถึง 7 วัน 7 คืน ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ถึง11 เมษายน โดยห้ามวางสาย
และจะออกอุบายให้โอนเงินออกไปเรื่อยๆ ในบัญชีที่แตกต่างกัน รวม 11 ครั้ง จากไป 5 บัญชี 4 ธนาคาร รวม 8,465,084 บาท
และคนร้ายพยายามตรวจสอบว่าตนเองมีทรัพย์สินอะไรที่เป็นชื่อเจ้าของเพียงคนเดียวให้เอามาให้หมดเพื่อมาแปลงเป็นทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ที่จะให้ไปจำนอง มูลค่าหนึ่งล้านบาท แต่เคราะห์ดีที่ธนาคารปฏิเสธ
แต่คนร้าย ก็ยังให้เอาบัตรเครดิตของตนไปกดเงินสดออกมาทั้งหมด จนบัตรเครดิตเต็มวงเงิน และให้โอนให้คนร้าย
รวมถึงเมื่อทราบว่าคุณศิวัช มีสลากออมสินมูลค่ากว่า 2 ล้าน 5 แสน และสลากดิจิตอลอีก 1 แสน 7 หมื่นบาท ก็บอกให้คุณศิวัช เดินทางไปกลับที่หาดใหญ่ เพื่อนำสลากออมสินมาเพื่อแปลงเป็นเงินโอนให้อีกด้วย โดยตลอดการเดินทางก็ยังคงให้ค้างสายตลอด
แม้แต่ตอนที่ได้สลากไปแล้ว และจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ มิจฉาชีพก็ยังให้ตนเซลฟี่รูปคู่กับตั๋วเครื่องบิน เพื่อยืนยันว่าขึ้นเครื่องแล้วจริงๆ โดยบอกว่าให้ค้างสายไว้จนสายตัด พอเครื่องลง ก็จะติดต่อมาอีก
เมื่อสอบถามว่าทำไมถึงไม่เอะใจถึงพฤติกรรมดังกล่าว นายศิวัช บอกว่า ปนไปอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศเป็นเวลา 9 ปี ซึ่งไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนกระทั่งกลับมามาถึงที่ประเทศไทย และอาศัยอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ปี ก็พบว่าตลอดระยะเวลาที่อาศัยในประเทศไทยนั้น ก็มีเบอร์มิจฉาชีพโทรเข้ามาอยู่บ่อยครั้ง แต่ตนก็จับได้ทุกครั้งแต่ในครั้งนี้กลับมีความแนบเนียนในการหลอกลวง และด้วยความกลัวตนจึงต้องทำตามอีกฝ่ายที่ได้ข่มขู่มา
กระทั่งวันที่ 11 เมษายนตน คนร้ายให้ตนโทนศัพท์ไปขอเงินทางคุณพ่ออีก ตนเองจึงโทรไปและพ่อก็พยามซักถามว่าจะเอาไปทำอะไร แต่เป็นเพราะว่าปกติตนเองไม่โกหก และตอบคำถามไม่ได้ พ่อเลยถามว่าใครสั่ง ให้โอน ตนจึงบอกพ่อไป ก่อนที่พ่อจะบอกว่า "อย่าโอนเงิน" จึงรู้ตัว และทางครอบครัวก็พยามแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากนั้นตนก็ไปแจ้งความที่ สภ.คลองหลวง ซึ่งสอบถามกับทางตำรวจเมื่อตอนสัปดาห์ที่ผ่านมาบอกว่า อยู่ระหว่างรอการรวบรวมเอกสารจากทางธนาคารมาให้ตำรวจ แล้วจะออกหมายจับภายหลัง ซึ่งส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าจะได้เงินคืนหรือไม่ แต่ตอนนี้ ต้องเอาเงินเก็บที่เหลืออยู่ไปจ่ายบัตรเครดิตที่คนร้ายให้กดไป ทำให้เงินก้อนนี้ที่ต้องเอามาใช้ต่อลมหายใจร้านอาหารย่านคลองสามของตนเอง ก็กลายเป็นว่าอาจจะต้องปิดร้านลง แล้วไปเช่าเพื่อเปิดร้านที่เล็กลง
ทางด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้เปิดเผยหลังจากที่รับฟังเรื่องราวดังกล่าวว่า ทางเพจฯ จะประสานไปยังผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ เพื่อให้ติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษต่อไป
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/TgFXFYc92hk
แท็กที่เกี่ยวข้อง