สังคม

'นำเกียรติ' ลั่นถูกเล่นงานเหตุทำ 3 คดีดัง แฉ 34 เส้นเงิน ตร.รับเงินเว็บพนัน โยง 'นายพล ต.'

โดย panwilai_c

19 มี.ค. 2567

637 views

ทีมทนายความและที่ปรึกษากฎหมายของ 'บิ๊กโจ๊ก' แจง 2 ปม ถูกกล่าวหาใช้เงินเว็บพนัน พร้อมเปิดเส้นทางการเงินจากบัญชีม้า พบไปถึงคนใกล้ชิดผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ



ทีมทนายของพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวที่โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ สุขุมวิท 22 โดยมีทนาย 2 คนที่ออกมาให้ข้อมูลคือ นาย ณัฐวิชช์ เนติจารุโรจน์ และ นาย วราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง



ประเด็นแรกที่ชี้แจง คือ เรื่องเงินทำบุญกฐินพระราชทาน วัดศาลาปูนวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 2 แสนบาท ยืนยันว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินทำบุญของหญิงสาวที่ชื่อว่า น.ส.หลุยส์ ที่ฝากพันตำรวจโท คริษฐ์ ปริยะเกตุ มาทำบุญเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2565 และได้รับใบอนุโมทนาบัตรมาแล้ว



ส่วนใบอนุโมทนาบัตรของ บิ๊กโจ๊ก ได้ร่วมทำบุญให้กับที่วัดวันที่ 29 ตุลาคม 2565 เป็นเงินส่วนตัวของบิ๊กโจ๊ก และผู้ที่ร่วมสมทบเงิน ไม่ได้เกี่ยวกับเงินที่พันตำรวจโท คริษฐ์ โอนไป ทีมทนายเชื่อว่า คณะพนักงานสอบสวนเอามาโยงกัน เพราะยอดเงินเหมือนกัน แต่พอมาไล่เรียงเส้นเงินดีๆ จะเจอว่าเป็นเงินคนละส่วน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับบิ๊กโจ๊ก



และที่นำมาโยง เพราะพบใบอนุโมทนาบัตรในรถของ พันตำรวจโท คริษฐ์ ซึ่งตั้งแต่ถูกจับและค้นรถ เรื่องนี้ก็ไม่เคยถูกพูดถึง หลักฐานก็อยู่ในมือของพนักงานสอบสวนมาตลอด แต่อยู่ๆ ก็มีข่าวหลุดออกมาแบบนี้ และปล่อยข้อมูลให้สื่อแบบที่บิดเบือน กล่าวหาว่านำเงินเว็บพนันไปบริจาควัดแล้วออกใบอนุโมทนาบัตรเพื่อลดหย่อนภาษี ทั้งที่ความจริงลดหย่อนได้แค่ 1 แสนบาท และบิ๊กโจ๊กทำบุญแบบนี้หลายวัด



ส่วนเรื่องของตั๋วเครื่องบินที่บอกว่าซื้อให้กับเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. แล้วถูกโยงว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับทางป.ป.ช. จากการตรวจสอบพบว่า ตั๋วซื้อ 11 มีนาคม 2565 โดยโอนเงินจากบัญชีม้าให้กับผู้ประกอบการในการซื้อตั๋วเครื่องบิน 13,100 บาท ทีมทนายตรวจสอบพบว่า ตั๋วดังกล่าวเป็นการซื้อตั๋วไปกลับ กรุงเทพ หาดใหญ่ของพันตำรวจโท คริษฐ์ กับครอบครัว คือ ภรรยาและลูก โดยมีหลักฐานการแชทไลน์กับบริษัทที่ออกตั๋วเครื่องบิน เชื่อว่าพนักงานสอบสวนน่าจะเห็นการคุยในไลน์ทั้งหมด และปรากฎว่าพอถูกจับก็เอามาโยงกันและปล่อยข้อมูลทำให้สังคมเข้าใจผิด



จากนั้นทนายเปิดชาร์ตแผนผังบัญชีม้าที่พันตำรวจโท คริษฐ์ ใช้ มีทั้งหมด 6 บัญชี คือ และบัญชีที่เชื่อมโยงถึงบิ๊กโจ๊ก มีชื่อว่า 'พิมพ์วิไล' ซึ่งเป็นคนที่ถูกกล่าวหาว่า ทำบัญชีให้กับเว็บ BNK master และยังมีรายชื่อไปปรากฎอยู่ในสำนวนของเว็บพนันมินนี่ด้วย ประกอบกับพนักงานสอบสวนที่ทำคดีมินนี่ส่วนใหญ่ก็เป็นชุดที่ทำคดี BNK master ทีมทนายจึงเชื่อว่า 2 คดีนี้ เชื่อมโยงกัน และควรรวมเป็นสำนวนเดียวกัน ดังนั้นคดีมินนี่ ป.ป.ช.รับไว้ไต่สวนแล้วเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 ดังนั้นคดี BNK master พนักงานสอบสวนก็ไม่มีอำนาจสอบสวนต่อ



ในการร้องทุกข์กล่าวโทษ ได้บอกว่ามีรายละเอียดเส้นทางการเงินหมุนเวียนในคดีรวมกันไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท ทั้ง 2 คดี ซึ่งถือเป็นคดีที่มีข้อหาเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน มูลค่าตั้งแต่ 300 ล้านบาท เป็นต้นไป และผู้ถูกกล่าวหาก็เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งตามระเบียบของกรมสอบสวนคดีพิเศษกำหนดให้อำนาจสอบสวนเป็นของกรมสอบสวนคดีพิเศษเท่านั้น ไม่ใช่คณะพนักงานสอบสวนที่มีการตั้งขึ้นมา ทำไมไม่ส่งให้ ป.ป.ช. หรือดีเอสไอ



ดังนั้นที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกบิ๊กโจ๊ก ไปรับทราบข้อหาในวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคมนี้ ต้องรอดูว่าบิ๊กโจ๊กจะดำเนินการอย่างไรต่อ เพราะทีมทนายเห็นว่าการออกหมายเรียกครั้งนี้ อาจจะทำไปโดยมิชอบ



ทนาย ณัฐวิชช์ บอกด้วยว่า ได้ประสานกับทนายความของนางสาว พิมพ์วิไล ขอรายการเดินบัญชี หรือ Statement มาตรวจสอบ พบว่า บัญชีของนางสาว พิมพ์วิไล มีความเชื่อมโยงกับตำรวจมากกว่า 30 นาย มีเส้นเงินถูกเชื่อมโยงถึง 34 เส้น จำนวนเงินที่ถูกจ่ายออกไปหลาย 10 ล้านบาท แต่กลับออกหมายจับเพียงแค่ 3 คน หนึ่งในนั้นคือพันตำรวจโท คริษฐ์



ทีมทนายความ ได้แบ่งเส้นเงินนี้ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก สายมีเขียว คือ กลุ่มที่ถูกดำเนินคดี กลุ่มที่ 2 คือ สายสีเหลือง กลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงแต่ยังไม่ถูกดำเนินคดี ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เป็นตำรวจ และกลุ่มที่ 3 สายสีแดง มี 4 เส้นเงิน ซึ่งนางสาว พิมพ์วิไล เคยไปร้องต่อกระทรวงยุติธรรมว่า ถูกตำรวจเรียกรับเงิน ตอนนี้เรื่องอยู่ในชั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ยังไม่ได้รับความชัดเจน นางสาว พิมพ์วิไล จึงได้มีการไปแจ้งความที่ สภ.คอหงส์ จังหวัดสงขลา ทำให้ตำรวจออกหมายจับและดำเนินคดีกับ เส้นสีแดงสายที่ 1 และ 2 คือ นาย พ. ที่รับเงิน 9 ล้าน 2 แสนบาท ถูกจับแล้ว และ นาย จ.รับเงิน 13 ล้าน อยู่ระหว่างหลบหนี



ส่วนเส้นเงินที่ 3 และ 4 ทนายตั้งข้อสังเกตว่า เส้นเงินอีก 2 เส้นนี้หรือไม่ ที่ทำให้ยังไม่มีการส่งสำนวนไป ป.ป.ช. หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ



โดยเส้นเงินแรก เชื่อมโยงไปถึง นาย ค. (รอง ฟ.) และมีการโอนต่อไปยังผู้สื่อข่าวและสมาคมนักข่าว 1.4 แสนบาท / ตำรวจหลายหน่วยงาน 2.4 ล้านบาท / ญาติของผู้บังคับบัญชาระดับสูง โอนตรงเข้าบัญชี ภรรยา พี่สาว และบุคคลใกล้ชิด รวม 2.3 แสนบาท



ส่วนอีกเส้นเงินหนึ่ง เชื่อมโยงไปถึง นาย อ. และ ดาบ ย. พบว่า มีการถอนเงินออกในพื้นที่เมืองทองธานี รวม 27 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 เดือน และถ้าจำกันได้ ภาพ บิ๊กต่อ บิ๊กโจ๊ก จับมือกันในที่ทำงานของบิ๊กต่อ จะอยู่ที่กองปฏิบัติการพิเศษต่อต้านการก่อการร้าย ย่านเมืองทองธานี



นายณัฐวิชช์ ย้ำว่า จากข้อมูลเส้นทางการเงินที่ได้เปิดเผยมานั้น ขอถามว่าการเลือกดำเนินคดีกับเส้นเงินบางเส้น "อย่างนี้หรือเปล่า ที่เรียกว่าอินทรีย์เลือกเหยื่อ"



ทนาย ณัฐวิชช์ ยืนยัน บิ๊กโจ๊ก ยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทั้งหมดอยู่แล้ว หากเป็นการดำเนินการโดยชอบ แต่ถ้าพบว่ามีการบิดเบี้ยว ก็มีสิทธิที่จะโต้แย้งและรักษาสิทธิ์ของตนเอง และเตรียมนำหลักฐานที่มีทั้งหมดยื่น ต่อ 4 หน่วยงาน



ได้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบเรื่องอำนาจการสอบสวน ป.ป.ช. พิจารณาเรื่องข้อมูลที่เกี่ยวพันกันของ 2 คดี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดำเนินคดีกรณีบิดเบือนข้อมูลเรื่องเงินทำบุญ และร้อง นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. เพื่อให้รับทราบข้อเท็จจริงในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งจะมีการพิจารณาอย่างไร ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่



หลังทีมทนายแถลงข่าวจบ รองนำเกียรติ 1 ในผู้ต้องหาเว็บพนันมินนี่ก็ออกมาแถลงต่อ เปิดอักษรย่อ 'นายพล ต.' และญาติ หลังพบเส้นเงินเชื่อมโยงบัญชีเดียวกับบิ๊กโจ๊ก แต่ไม่ถูกออกหมายจับ แถมบอกชนวนเหตุที่โดนดำเนินคดียกแก๊ง มาจากการทำคดี "เป้รักผู้การฯ - กำนันนก และส่วยทางหลวง"



พลตำรวจตรี นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ 1 ใน 8 ลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก บอกว่า อยากชี้แจงในฐานะที่ตกเป็นผู้ต้องหา และมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คือ พันตำรวจโท คริษฐ์ ใช้บัญชีของบุคคลอื่นถึง 6 บัญชี ซึ่งได้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนของ สน.ทุ่งมหาเมฆแล้วทั้งสิ้น รวมทั้งมีการสอบเจ้าของบัญชีแล้วด้วย แต่กลับนำเส้นทางการเงินในเรื่องสบคบฟอกเงินมาเป็นอีกคดีที่ สน.เตาปูน ทั้งที่เป็นการโอนเงินในห้วงเวลาเดียวกัน แต่เอาข้อเท็จจริงบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไป คือ วันเวลาที่โอนเงินเป็นวันเดียวกัน และกล่าวหา พันตำรวจโท คริษฐ์ สมคบฟอกเงินอีกคดี ที่ สน.เตาปูน ซึ่งกรณีนี้ เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช. จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงว่าเป็นความผิดที่ต่อเนื่องกันหรือไม่



ที่น่าสนใจ คือ พลตำรวจตรี นำเกียรติ ขยายความเพิ่มเติมจากทีมทนายความ ถึงเส้นทางการเงิน 2 เส้นที่ยังไม่มีการออกหมายจับ คือ เส้นทางการเงินที่ 3 เชื่อมโยงถึง นาย ค. (รอง ฟ.) ซึ่งโยงไปถึงภรรยา พี่สาว และพี่ชายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ซึ่งคือ ยศนายพล อักษรย่อ "ต." โดยภรรยามีอักษรย่อ ก. ส่วนพี่สาวมีอักษรย่อ จ. และพี่ชายอักษรย่อ ช. พร้อมยืนยันว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีเส้นทางการเงินที่เชื่อมไปถึงว่ามีการทำธุรกรรม แต่ไม่ได้หมายความว่ามีการกระทำความผิด



นอกจากนี้พลตำรวจตรี นำเกียรติ พูดถึงมูลเหตุจูงใจที่ทำให้พวกเขาทั้ง 8 คน ถูกดำเนินคดี ส่วนตัวเชื่อว่า อาจจะเกิดจากการทำคดีกำนันนก และมีการขยายผลเรื่องส่วยทางหลวงต่อ และอีกคดี คือ คดีอดีตผู้การชลบุรีรีดทรัพย์ 140 ล้านบาท หรือคดี "เป้รักผู้การเท่าไหร่" และเมื่อถึงกระบวนการสอบสวน ได้รับทราบจากการข่าวว่า มีตำรวจที่เป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พันตำรวจเอก "ด." ในเรื่องของการทำผิดกฎหมาย และเชื่อมโยงไปยังตำรวจหญิงอย่างน้อย 2 คน อักษรย่อ ว. และ ก. โดยทั้ง 2 คนมีความสัมพันธ์กับตำรวจระดับสูง ทำให้การดำเนินการในการสืบสวนสอบสวนในคดีของเขา มีตำรวจ PCT ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำคดีเพียงชุดเดียวเท่านั้น



เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เป็นการยอมรับใช่หรือไม่ว่า พันตำรวจโท คริษฐ์ ใช้บัญชีม้า พลตำรวจตรี นำเกียรติ บอกว่า หากพันตำรวจโท คริษฐ์ ใช้บัญชีม้าในการกระทำความผิด ถ้ามีเงินเข้าก็จะต้องถูกถอนออกหมดใช่หรือไม่ หากใช้บัญชีม้าโอนมาให้เขา โอนไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลแม่ของบิ๊กโจ๊ก และโอนให้บุคคลใกล้ชิดด้วย จะไปปกปิดบัญชีได้อย่างไร และนายให้เงิน พันตำรวจโทคริษฐ์ เอาเงินไปใส่ตู้ กลายเป็นลูกน้องมินนี่ เพียงเพราะไปพบภาพหลักฐานกล้องวงจรปิดบางส่วน โดยทั้งหมดนี้จะต้องไปสู้กันในชั้นศาลต่อไป



ส่วนสาเหตุที่ออกมาพูดวันนี้พลตำรวจตรี นำเกียรติ ระบุว่า เราเป็นผู้ถูกกระทำ การออกมาพูดในครั้งนี้ ไม่กังวลว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้น หากมีอะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมที่จะยอมรับ ซึ่งตั้งแต่วันที่ถูกจับกุม ก็แทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทั้งหน้าที่ และหน้าตาในสังคม



ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หลังจากตกเป็นผู้ต้องหา ได้กลับไปตรวจสอบหรือไม่ว่าได้เงินที่ได้จากผู้บังคับบัญชา มีที่มาจากไหนอย่างไร พลตำรวจตรีนำเกียรติ ระบุว่า การชี้แจงเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ให้เงินเรามา เราคงไปใช้อำนาจในการสืบสวนไม่ได้ เมื่อฝ่ายสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ก็เป็นหน้าที่ของผู้กล่าวหา ที่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเงินที่ได้มานั้น มาจากการกระทำความผิด



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/0CpoDTfl7AY

คุณอาจสนใจ

Related News