สังคม

สาวโอด รอง ผอ.รร.ขับรถข้ามเลนชน ทำแม่กระดูกเบ้าตาแตก เสนอเยียวยา 2 หมื่น ก่อนบอกให้ไปฟ้องเอา

3 ชั่วโมงที่แล้ว

35 views

ร้องสายไหมต้องรอด! ลูกสาวโอด รอง ผอ.โรงเรียนขับรถข้ามเลนชน ทำแม่กระดูกเบ้าตาแตก เสนอเยียวยาแค่ 2 หมื่น ก่อนบอกให้ไปฟ้องเอา

จากกรณีเพจสายไหมต้องรอด ได้เผยแพร่เรื่องราวร้องขอความเป็นธรรมของหญิงรายหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี หลังประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์ของรองผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในนนทบุรี ขับข้ามเลนพุ่งชน โดยมีคลิปภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน ขณะเกิดเหตุมีแม่นั่งโดยสารมาด้วยและได้รับบาดเจ็บนั้น

วันนี้ (25 ธ.ค. 2568) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เข้าพบ น.ส.ยุพา อายุ 29 ปี อาชีพค้าขาย พร้อมด้วยแม่ นางสุนันท์ อายุ 54 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป ซึ่งเป็นผู้บาดเจ็บ โดยทั้งสองได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 เวลาประมาณ 19.20 น. มาแสดงเป็นหลักฐานกับสื่อมวลชน

จากคลิปภาพปรากฏว่า รถยนต์ของ น.ส.ยุพา ยี่ห้อฮอนด้า สีดำ ขับมาตามถนนประชาอุทิศ จากบริเวณคลองประปามุ่งหน้าไปทางวัดต้นเชือก ใกล้ตลาดบางคูรัด ก่อนจะถูกรถยนต์คู่กรณี สีบรอนซ์ ซึ่งขับโดยรองผู้อำนวยการโรงเรียน เบี่ยงเลนข้ามมาพุ่งชนเข้าบริเวณด้านหน้าขวาของรถอย่างแรง ส่งผลให้รถได้รับความเสียหาย และแม่ของผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุ ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้แจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าช่วยเหลือ และนำตัวนางสุนันท์ส่งโรงพยาบาลเป็นการเร่งด่วน

น.ส.ยุพา เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุกำลังขับรถกลับบ้าน หลังจากไปทำธุระมากับแม่ เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ รถของคู่กรณีขับเบี่ยงเลนมาพุ่งชนเข้าบริเวณด้านหน้าขวาของรถ ตรงตำแหน่งฝั่งคนขับ ทำให้แม่ซึ่งนั่งอยู่ข้างเธอ ศีรษะกระแทกกับคอนโซลรถ ได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า เบ้าตาแตก มีเลือดออก ตอนนั้นตั้งข้อสังเกตว่า ภายหลังเกิดเหตุ รองผู้อำนวยการคู่กรณีลงมาจากรถโดยมีลักษณะถือโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา และจากการตรวจสอบกล้องภายในรถของคู่กรณี พบภาพลักษณะคล้ายกำลังจับโทรศัพท์ขณะขับขี่ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคู่กรณีใช้โทรศัพท์มือถือขณะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ เป็นเพียงข้อสังเกตจากหลักฐานภาพเท่านั้น

ภายหลังการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรก แพทย์ตรวจพบว่านางสุนันท์มีอาการกระดูกใต้ตาแตก และแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดโดยเร่งด่วน แต่เนื่องจากวงเงินประกันภัยรถของเธอไม่เพียงพอ อีกทั้งรถของคู่กรณีไม่มีประกัน ทำให้ไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายได้ จึงต้องย้ายไปรักษาตามสิทธิบัตรทอง 30 บาท ซึ่งแพทย์ให้เพียงยารับประทานและติดตามอาการ ตอนนี้เหตุการณ์ผ่านมากว่า 1 เดือน แต่อาการของแม่ยังไม่ดีขึ้น ยังคงมีอาการเจ็บและชาบริเวณใบหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและการทำงาน

ในส่วนของการเยียวยาภายหลังเกิดเหตุ คู่กรณีมีเพียงการโทรศัพท์สอบถามอาการของแม่เธอ และนำกระเช้ามาเยี่ยมเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ก่อนที่การเจรจาค่าเสียหายจะเริ่มขึ้น โดยครั้งแรกตำรวจได้เชิญทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ยที่สถานีตำรวจ ซึ่งเธอเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท แต่คู่กรณีซึ่งเดินทางมาพร้อมกับผู้อำนวยการโรงเรียน กลับลุกเดินออกจากสถานีตำรวจทันที

ต่อมาประมาณ 2-3 วันหลังการเจรจาที่โรงพัก เธอโทรศัพท์ไปพูดคุยกับคู่กรณีอีกครั้ง โดยเรียกค่าเสียหายครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าขาดรายได้ และค่าเช่ารถระหว่างนำรถเข้าซ่อม เป็นเงินจำนวน 200,000 บาท แต่คู่กรณีแจ้งว่าจำนวนเงินดังกล่าวสูงเกินจริง และยินยอมจ่ายเพียง 20,000 บาทเท่านั้น พร้อมอ้างว่าได้ปรึกษาทนายความมาแล้ว และให้ผู้เสียหายไปฟ้องร้องดำเนินคดีทางศาลเอา ซึ่งมองว่าเงินจำนวน 20,000 บาท ไม่สอดคล้องกับอาการบาดเจ็บของแม่เธอ ซึ่งต้องรักษาในระยะยาว และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวงเงิน พ.ร.บ. และประกันของรถเธอ โดยเฉพาะกรณีแพทย์โรงพยาบาลเอกชนเคยแนะนำให้ผ่าตัด แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องไม่มีเงินรักษาต่อ

ปัจจุบันมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเหตุการณ์ดังกล่าว อีกทั้งเธอและแม่จำเป็นต้องหยุดงานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและดูแลยายอายุ 80 ปี ส่งผลให้ครอบครัวขาดรายได้อย่างหนัก จึงตัดสินใจนำเรื่องราวทั้งหมดร้องเรียนผ่านเพจสายไหมต้องรอด เพื่อขอความเป็นธรรมและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ

ด้านแม่ที่บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน ยังคงมีอาการบาดเจ็บบริเวณใบหน้าด้านขวา มีอาการชาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่ได้เข้ารับการผ่าตัด อีกทั้งต้องหยุดงานเกือบหนึ่งเดือน ทำให้ขาดรายได้ จึงอยากให้คู่กรณีออกมาแสดงความรับผิดชอบ และช่วยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธออย่างเป็นธรรม

ในส่วนของคดีความ ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้เรียกทั้งผู้เสียหายและคู่กรณีเข้าพูดคุยไกล่เกลี่ยแล้ว 1 ครั้ง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ โดยตำรวจอยู่ระหว่างรอผลทางการแพทย์ของผู้บาดเจ็บ และให้ผู้เสียหายรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลและให้มีการชี้มูลความผิดตามกระบวนการกฎหมาย หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้


แท็กที่เกี่ยวข้อง  ขับรถชน ,นนทบุรี ,รอง ผอ.รร.

คุณอาจสนใจ

Related News