สังคม

กองทัพภาคที่ 2 แจง “ศาลโลก” ไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดน-พื้นที่รอบ “ปราสาทพระวิหาร” พบมีช่องว่างคำพิพากษา

9 ชั่วโมงที่แล้ว

111 views

กองทัพภาคที่ 2 แจง “ศาลโลก” ไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดน-พื้นที่รอบ “ปราสาทพระวิหาร” ชี้พื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็น “ช่องว่างคำพิพากษา” ซัดกัมพูชาใช้ “มรดกโลก” เป็นเครื่องมือการเมือง ใช้แผนที่ 1:200,000 อ้างสิทธิพื้นที่ไทย - เกิดพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ย้ำฝ่ายไทยยึดแผนที่ 1:50,000 ลุยปิด “ช่องคานม้า” ตัดเส้นทาง “กัมพูชา” ลำเลียงขึ้นตัวปราสาท หลังพบตั้ง “ฐานยิง-อาวุธวิถีโค้ง”

25ธ.ค.68 เพจกองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ข้อความว่า ปฐมเหตุความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ปราสาทพระวิหาร พื้นที่ 4.6 ตร.กม. และดินแดนที่ไทยสูญเสียในอดีต

1. ปฐมเหตุแห่งข้อพิพาท : คดีเขาพระวิหาร

ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา มีจุดเริ่มต้นสำคัญจากกรณี ปราสาทพระวิหาร เมื่อกัมพูชายื่นฟ้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

ฝ่ายไทยในขณะนั้นเข้าร่วมกระบวนการด้วยความเชื่อว่าเป็นศาลแห่งความยุติธรรม แต่ผลลัพธ์กลับสะท้อนความเป็น “ศาลการเมืองระหว่างประเทศ” มากกว่าการพิจารณาตามภูมิประเทศจริง

คำพิพากษา ปี พ.ศ. 2505 มี 3 ประเด็นหลัก

1. ตัวปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา

2. ไทยต้องถอนกำลังออกจากบริเวณตัวปราสาท

3. ไทยต้องคืนโบราณวัตถุที่นำออกไปหลังปี 2497

ข้อสำคัญ: ศาล ไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดน และ ไม่เคยระบุพื้นที่รอบปราสาท



2. พื้นที่ 4.6 ตร.กม. : ช่องว่างของคำพิพากษา

คณะรัฐมนตรีไทยในปี 2505 ตีความว่ากัมพูชามีสิทธิ เฉพาะตัวปราสาท ไทยจึงล้อมลวดหนามรอบปราสาทอย่างแคบที่สุด

แต่กัมพูชากลับใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นฐานอ้างสิทธิ ซึ่งหากยึดตามนั้น ไทยจะสูญเสียดินแดนจำนวนมาก รวมถึง

• ภูมะเขือ

• พลาญอินทรี

• ช่องคานม้า

• โบราณสถานตลอดแนวชายแดน

• และผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ในอ่าวไทย

ผลคือการเกิด “พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร”


3. การใช้มรดกโลกเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ปี 2549–2551 กัมพูชาพยายามนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยรวมพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แม้ไทยจะยืนยันให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะ “ตัวปราสาท”

วันที่ 7 กรกฎาคม 2551 UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ครอบคลุมพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แต่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนได้เริ่มปะทุแล้ว


4. ความรุนแรงและการรุกคืบ (2551–2554)

• ต.ค. 2551 – ปะทะบริเวณห้วยตานี–ภูมะเขือ

• เม.ย. 2552 – ภูมะเขือ–ผามออีแดง

• ก.พ. 2554 – สงคราม 4 วัน ใกล้ปราสาทพระวิหาร

• เม.ย.–พ.ค. 2554 – ปราสาทตาควาย–ตาเมือนธม

กัมพูชาดำเนินการ รุกคืบเชิงพื้นที่ อย่างเป็นระบบ

• สร้างชุมชน

• สร้างถนนคอนกรีต

• สร้างวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ

• เชื่อมเส้นทางขึ้นช่องคานม้า–พลาญอินทรี–ตัวปราสาท ทั้งหมดเป็นการ ละเมิด MOU43 อย่างชัดเจน



5. คำพิพากษาตีความ ปี 2556 : ไม่ได้ให้ 4.6 ตร.กม.

กัมพูชายื่นคำร้องให้ ICJ ตีความใหม่ โดยศาลโลกมีคำตัดสินว่า

• ไม่ยกพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้กัมพูชา

• ภูมะเขือไม่เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร

• แต่เห็นว่าไทยล้อมพื้นที่ชิดตัวปราสาท “แคบเกินไป”

อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ระบุแนวเขตที่ชัดเจนและโยนภาระให้สองประเทศเจรจาเอง



6. ความจริงเชิงยุทธศาสตร์ในปัจจุบัน

ตลอดมา กัมพูชาใช้ทุกวิธีทั้งการแทรกซึม การตั้งฐานทหาร อ้างการลาดตระเวนร่วม ค่อยๆ ขยายพื้นที่ทีละนิด พื้นที่สำคัญที่ถูกคุกคาม ได้แก่

• พลาญอินทรี

• ช่องคานม้า

• ห้วยตามาเรีย

• ภูมะเขือด้านหน้าผา

• ช่องโดนเอาว์

• พลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน

ฐานยิงและอาวุธวิถีโค้งจากฝั่งเขาพระวิหาร ถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อกำลังพลไทย


7. สิทธิในการป้องกันตนเองของไทย

ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไทยมีสิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defense) และ ทำลายภัยคุกคามที่คุกคามกำลังพลและอธิปไตย

เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนคือสถาปนาอำนาจรัฐไทยตามแผนที่ 1:50,000 ปิดช่องคานม้าตัดเส้นทางลำเลียงขึ้นปราสาทจากฝั่งกัมพูชา

นี่ไม่ใช่เพียงเรื่อง “อดีต” แต่คือ สมรภูมิแห่งความทรงจำ อธิปไตย และศักดิ์ศรีของชาติ แผ่นดินที่เสียไปในอดีตไม่ได้แปลว่าเราต้องยอมเสียในปัจจุบัน

ขอเป็นกำลังใจให้ทหารไทยทุกนายที่ยืนอยู่แนวหน้าเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน ประชาชนไทยจำนวนมากพร้อมสู้และยืนอยู่เคียงข้างกันเสมอ เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินนี้

คุณอาจสนใจ

Related News