สังคม

อธิบดีกรมศิลปากร ยืนยัน "ปราสาทตาควาย" ซ่อมได้ ขอแค่อยู่ในแผ่นดินไทย-เป็นของไทย

15 ธ.ค. 2568

41 views

ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ชี้แจงกรณีปราสาทตาควาย ได้รับความเสียหายจากการสู้รบ ว่า เป็นที่ตระหนักกันดีว่า ไม่ควรมีโบราณสถานแห่งใดในโลกนี้ ได้รับความเสียหายจากเหตุสงคราม โดยเหตุนี้ประชาคมโลก หรือนานาชาติ จึงมีกติการ่วมกันในการไม่ใช้โบราณสถานเป็นฐานที่มั่น หรือกองกำลังทางทหาร หรือมีการปฏิบัติการใดๆ ในการสงครามที่ใช้โบราณสถานเป็นที่มั่น

สำหรับปราสาทตาควาย จากข้อเท็จจริงแล้วเป็นที่ทราบกันว่า กองกำลังทหารของกัมพูชาได้ใช้เป็นที่มั่น หรือจะเรียกว่าซ่องสุมกำลังอะไรก็แล้วแต่ แต่การใช้โบราณสถานเป็นที่มั่น เท่ากับกัมพูชาได้ละเลยกติกาซึ่งเป็นที่ยอมรับกันเป็นสากล ไม่ว่าจะโดยสนธิสัญญาใดๆ ก็แล้วแต่

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ฝ่ายไทยต้องมีการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งเป็นไปตามความจำเป็น โดยผลของสงคราม เมื่อเป็นจุดปะทะก็อยากจะหลีกเลี่ยงความเสียหายได้ เมื่อเกิดความเสียหายแล้ว ก็จะถูกถามเสมอว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะสามารถฟื้นฟูบูรณะได้หรือไม่

“ผมขอยืนยันว่า หากแม้กรมศิลปากรได้มีโอกาสซ่อมปราสาทตาควาย หรือปราสาทหลังใดก็แล้วแต่ที่เป็นของไทย เราสามารถบูรณะกลับคืนมาได้อย่างแน่นอนที่สุด ซึ่งเคยมีประจักษ์พยานมาแล้ว คือปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินสด็อกก๊อกธม ซึ่งเป็นปราสาทที่มีความซับซ้อน มีลวดลายวิจิตรมากกว่าประสาทตาควาย ก็สามารถซ่อมกลับมาได้ จากสภาพเดิมที่อยู่ในลักษณะเป็นกองปรักหักพังเช่นเดียวกัน”

อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวต่อว่า วิธีการซ่อมของกรมศิลปากร เรียกว่า เทคนิค “อนัสติโลซีส” (ANASTYLOSIS) ซึ่งเป็นวิธีการที่เรียนรู้จากฝรั่งเศส ด้วยการนำลงมาแล้วกลับไปเรียงใหม่ วิธีนี้ประสบความสำเร็จมาแล้วในการซ่อมปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย โดยหลักการคือรื้อลงมาทั้งหลัง ทำผังว่าหินแต่ละก้อนตกมาจากทิศใด แล้วทำโครงสร้างใหม่ที่แข็งแรง จากนั้นนำชิ้นส่วนเดิมเข้าไปต่อประกอบ เราซ่อมปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทพิมาย เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเทคโนโลยียังไม่สามารถนำหลักการคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการออกแบบต่างๆได้ แต่เดี๋ยวนี้มีวิทยาการ เรามีประสบการณ์ที่มากขึ้น ปราสาทตาควายขนาดเล็กกว่า ซับซ้อนน้อยกว่า ไม่มีลวดลายมาก จึงไม่เกินความสามารถของกรมศิลปากรในการบูรณะอย่างแน่นอน

“ขอยืนยันให้ประชาชนมั่นใจ ซึ่งกรมศิลปากรจะมีอำนาจบูรณะโบราณราชสถานได้เฉพาะที่อยู่ในอาณาเขตประเทศไทยเท่านั้น หากแม้แผ่นดินที่ปราสาทตั้งอยู่ ตกไปเป็นของกัมพูชา เราจะไม่มีวันได้แตะต้อง หรือบูรณะโบราณสถานต่างๆ เหล่านี้ได้อีก เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการรักษาผืนแผ่นดินอันที่ตั้งของประสาทเหล่านี้เอาไว้ ตราบใดที่แผ่นดินเป็นของเรา ผมมีความเชื่อมั่นว่าภายหลังเหตุการณ์สงบ เราจะสามารถบูรณะและฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิม หรือสมบูรณ์มากกว่าเดิม โดยหลักฐานที่เราจะพบเพิ่มเติม จากการปรุงแต่งทางโบราณคดี ซึ่งเป็นวิธีการเฉพาะของกรมศิลปากร”

อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวต่อว่า ดังนั้นขอเรียนว่า 1.เหตุการณ์นี้ผู้ที่ละเมิดกติกาของโลกก็คือกัมพูชาข้อ 2.ไทยใช้ปฏิบัติการทางทหาร เพื่อการรักษาไว้ซึ่งอำนาจปัตยของไทย 3.ผลจากความเสียหายการสงคราม สามารถฟื้นฟูได้ด้วยการบูรณะและรักษา พร้อมกันนี้ขอส่งกำลังใจให้พี่น้องทหาร ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือการรักษาชาติ แต่ละคนต่างทำหน้าที่ สำหรับกรมศิลปากร พร้อมที่จะทำบูรณะและยืนยันว่าซ่อมได้

ด้าน นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีกัมพูชากล่าวหาฝ่ายไทยปฏิบัติการทางทหารโจมตีโบราณสถานต่าง ว่า ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดเจน ว่ากองทัพกัมพูชาใช้ปราสาทและโบราณสถานต่างๆ ตามแนวชายแดน เป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร ไทยจึงมีทางเลือกเดียวคือใช้สิทธิ์ในการปกป้องตนเอง การกระทำของกัมพูชาถือเป็นการละเมิดอนุสัญญากรุงเฮก ว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีเกิดความขัดแย้งทางอาวุธ (ค.ศ. 1954) และอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ (ค.ศ. 1972) ทั้งนี้ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ซึ่งเป็นองค์การหลัก ที่มีบทบาทในการดูแลโบราณสถาน ได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันปกป้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรม บริเวณชายแดน ซึ่งพบว่ากัมพูชายังคงบิดเบือนข้อมูล แสดงความไม่จริงใจ ไทยจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้พื้นที่โบราณสถาน เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร และยุติการบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้

คุณอาจสนใจ

Related News