สังคม

จับตาโควิด-19 ‘NB.1.8.1’ ขึ้นแท่นสายพันธุ์หลัก ระบาดในไทย-ทั่วโลก สธ.ชี้แพร่เร็วแต่ไม่รุนแรง

โดย petchpawee_k

30 พ.ค. 2568

194 views

กรมวิทย์ฯ เฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 พบสายพันธุ์ NB.1.8.1 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทยและทั่วโลก ย้ำยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดโรครุนแรงมากขึ้น

วานนี้ (29 พ.ค.68)  นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก ยังคงให้ความสำคัญกับการติดตามสายพันธุ์ก่อโรคโควิด-19  โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง (Variants of Interest – VOI) อย่าง JN.1* และสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง (Variants under Monitoring-VUM) อีก 6 สายพันธุ์ ได้แก่ KP.3*, KP.3.1.1*, LB.1*, XEC*, LP.8.1*และ NB.1.8.1 ทั้งนี้ สัดส่วนของสายพันธุ์โอมิครอนทั่วโลก อ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูลกลาง หรือ จีเสด (GISAID) ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึง วันที่ 27 เมษายน 2568 พบว่า

- LP.8.1* มีสัดส่วนสูงที่สุดในสัปดาห์ที่ 14 (42.0%) แต่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงสัปดาห์ที่ 17 (39.0%)

- NB.1.8.1 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ 14 (2.5%) จนถึงสัปดาห์ที่ 17 (10.7%)

- XEC*มีสัดส่วนลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ 14 (22.3%) จนถึงสัปดาห์ที่ 17 (17.8%)

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน มีต้นกำเนิดมาจากสายพันธุ์ลูกผสม XDV.1.5.1 โดยพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ปัจจุบัน NB.1.8.1 พบใน 22 ประเทศทั่วโลก จำนวนลำดับพันธุกรรมที่พบ 518 ราย ยังน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ สัดส่วนของ NB.1.8.1 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้กำลังแพร่หลายมากขึ้น และเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง


“สิ่งที่ทำให้ NB.1.8.1 น่าจับตา คือ มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งโปรตีนหนามหลายจุดที่เพิ่มเติมจากสายพันธุ์ JN.1 รวม 7 ตำแหน่ง ได้แก่ S:T22N, S:F59S, S:G184S, S:A435S, S:F456L, S:T478I, S:Q493E  ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแพร่กระจายและหลบหลีกภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีข้อมูลว่า NB.1.8.1 อาจจะแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น และหลบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดโรครุนแรงมากขึ้น”


นพ.ยงยศ  กล่าวว่า  สำหรับสถานการณ์ของไวรัส SARS-CoV-2  สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย


โดยผลจากการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด-19  ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์ฯ  ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568  พบสายพันธุ์โอมิครอน JN.1*, KP.3.1.1*, KP.3*, LP.8.1*, NB.1.8.1, Other, และ XEC*  ข้อมูลที่น่าสนใจ คือ NB.1.8.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลักอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ขณะที่สายพันธุ์ XEC* และ JN.1* มีสัดส่วนลดลง

- NB.1.8.1: ไม่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ในเดือนมกราคมถึงมีนาคม แต่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนเมษายน (43 ราย) และพฤษภาคม (167 ราย) จำนวนผู้ติดเชื้อรวม 210 ราย

- JN.1*: พบมากที่สุดในเดือนมกราคม (17 ราย) แต่จำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียง 5 รายในเดือนพฤษภาคม

- XEC*: จำนวนผู้ติดเชื้อค่อนข้างคงที่ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนพฤษภาคม

สายพันธุ์อื่น ๆ : (KP.3.1.1*, KP.3*, LP.8.1*, Other) มีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อย

นพ.ยงยศกล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์ฯ และเครือข่ายยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยรวบรวมตัวอย่างจากทั่วประเทศตรวจหาสารพันธุกรรมถอดรหัสจีโนม และเผยแพร่ข้อมูลผ่านจีเสดอย่างสม่ำเสมอ การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ช่วยให้ห้องปฏิบัติการ (แล็บ) พร้อมรับมือการระบาดในอนาคต  สิ่งสำคัญ คือ การป้องกันตนเอง สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและสุขภาพส่วนบุคคล ไม่ใช่จำเพาะกับสายพันธุ์เท่านั้น ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด

https://youtu.be/l-7PhGrSmEk

คุณอาจสนใจ

Related News