สังคม

แจ้ง 4 ข้อหา หนุ่มมาสด้าแดงแหกด่าน ต้นเหตุ 7 ตร.รุมตื้บผิดตัว อ้างตกใจ กลัวโดนจับเมาแล้วขับ

โดย petchpawee_k

10 ธ.ค. 2567

13 views

หนุ่มขับรถมาสด้าแดง แหกด่านตรวจ เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.บางเขน รับทราบ 4 ข้อกล่าวหา หลังใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง เจ้าตัวยอมรับผิดทุกข้อกล่าวหา อ้างตกใจขาดความยั้งคิดกลัวตำรวจจับ เพราะไม่เคยดื่มมาเจอด่านตรวจเป่าแอลกอฮอล์ ยันไม่ได้แหกด่าน

วานนี้ ( 9 ธ.ค.) เวลา 18.30 น. นายธนายุทธ  อายุ 37 ปี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ขับรถไฟฟ้า บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.บางเขน เพื่อรับทราบข้อ 4 กล่าวหา เมาสุราในขณะขับรถ ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ทำให้เสียทรัพย์ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ภายหลังนัดหมายไว้ว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนในเวลา 09.00 น.

โดยนายธนายุทธ คือผู้ที่ขับรถมาสด้า สีแดง แหกด่านตรวจแอลกอฮอล์ ของตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา บริเวณถนนเกษตร-นวมินทร์ จนเป็นต้นเหตุให้ 7 ตำรวจ บก.จร. สกัดจับรถยนต์ผิดคันและรุมกระทืบทำร้ายร่างกายนายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี ลูกชาย อดีต สารวัตร บก.ปทส. บาดเจ็บสาหัส

ทันทีที่นายธนายุทธ เดินทางมาถึงโรงพัก ได้มีทนายความเดินลงจากรถและเข้าไปประสานกับพนักงานสอบสวน ส่วนนายธนายุทธ ใส่หน้ากากอนามัย นั่งรออยู่ในรถยนต์มาสด้า สีแดง คันที่ขับแหกด่าน ด้านหน้ารถบริเวณกันชนทั้งด้านซ้ายและขวา พบว่ามีร่องรอยการชน รอยครูดและรอยถลอก ส่วนควบไฟหน้าฝั่งขวาอ้าออก คาดว่าน่าจะเกิดจากที่นายธนายุทธ ขับรถแหกด่านและเฉี่ยวชนรถกระบะสายตรวจของตำรวจ ก่อนที่จะขับรถหนีไป

อย่างไรก็ตามมีสื่อมวลชนที่มาทำข่าว ยืนรออยู่บริเวณรถของนายธนายุทธ เพื่อรอสอบถามกรณีที่เจ้าตัวขับรถแหกด่าน จากนั้นทนายความ ได้เดินมาเปิดประตูรถ และรับตัวนายธนายุทธ ลงจากรถเพื่อเข้าไปพบพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายธนายุทธ แต่ทนายความบอกว่าขอเข้าพบพนักงานสอบสวนก่อน อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามต่อ แต่นายธนายุทธ ก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์และไม่ให้ข้อมูลใด ๆ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามย้ำว่าทำไมต้องขับรถแหกด่าน คืนเกิดเหตุดื่มแอลกอฮอล์มาจริงหรือไม่ แต่เจ้าตัวนิ่งเงียบก็ไม่ตอบ พูดสั้นๆ เพียงว่า “ขอโทษ ขอให้ปากคำก่อน”  เมื่อถามว่าอยากพูดอะไรถึงผู้เสียหายหรือครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจรุมทำร้ายหรือไม่ นายธนายุทธ ก็ไม่ตอบ

เมื่อถามว่าคืนเกิดเหตุวันนั้นหากเป็นตัวเอง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรุมทำร้ายจะรู้สึกอย่างไร โดยนายธนายุทธ นิ่งเงียบแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามเช่นกัน นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าต้นสังกัดที่เจ้าตัวทำงานอยู่นั้น ได้ดำเนินการสั่งพักงานหรือไม่ และที่ทำงานได้ดำเนินการอย่างไรบ้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นายธนายุทธ ก็ไม่ตอบเช่นกัน ก่อนจะเดินเข้าไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำและรับทราบข้อกล่าวหา

ต่อมา 21.10 น. หลังจากพนักงานสอบสวนสอบปากคำ นายธนายุทธ เกือบ 3 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนได้พามาชี้และถ่ายรูปรถยนต์มาสด้า สีแดง คันที่ก่อเหตุซึ่งจอดหน้าโรงพักและพิมพ์ลายนิ้วมือ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิด แต่นายธนายุทธ ก็ไม่ตอบคำถามแต่อย่างใด โดยหลังจากพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเสร็จ ได้ปล่อยตัวนายธนายุทธ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ประกันเนื่องจากผู้ต้องหามามอบตัว ไม่มีเจตนาหลบหนี พร้อมกับนัดให้ไปส่งฟ้องศาลแขวงพระนครเหนือ ในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ ก่อนที่นายธนายุทธ จะขับรถกลับบ้านไป

เวลา 22.10 น. นายธนายุทธ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ขอโทษและรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป แต่ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฝ่าด่านตรวจ เพราะวันเกิดเหตุ หลังจากดื่มสังสรรค์มาจากย่านหมอชิต ก็ได้ขับรถเข้าด่านตรวจดังกล่าว และได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ทั้งเป่าวัดแอลกอฮอล์เบื้องต้นและมอบใบขับขี่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ

แต่เมื่อตรวจวัดแอลกอฮอล์เบื้องต้นเสร็จขณะตำรวจให้ขับรถเข้าข้างทางเพื่อตรวจวัดแอลกอฮอล์อย่างละเอียดพร้อมทำบันทึกการจับกุม ยืนยันว่าขณะนั้นตัวเอง รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเพราะไม่เคยดื่มแล้วขับรถมาเจอด่านตรวจ จึงขาดความยั้งคิด และขับรถออกจากด่านเพื่อกลับบ้านทันที

ต่อมาภายหลังทราบข่าวว่า ลูกชายอดีตตำรวจถูก ตำรวจ 7 นายรุมทำร้ายเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวเองนั้น ขณะนี้ส่วนตัวยังไม่ได้พูดคุยกับผู้เสียหาย แต่มีความตั้งใจที่อยากจะไปเยี่ยมและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ส่วนทางด้านคดีความนั้นขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนจะดำเนินคดี ซึ่งตัวเองก็ยอมรับสารภาพทุกข้อหา และยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนคดีความที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองนั้นไม่ขอก้าวล่วง

----------------------------------------

รฟท.สายสีแดง ย้ายการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว สั่งพักงานไม่น้อยกว่า 15 วัน โดยไม่ได้รับค่าจ้าง-ตั้งกรรมการสอบ หนุ่มพนักงาน ขับรถเก๋งฝ่าด่านตรวจแอลกอฮอล์ หากเข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรงให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานทันที

วานนี้ (9 ธ.ค.) บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีบุคลากรของหน่วยงาน ขับรถยนต์ส่วนตัวฝ่าด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอลล์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณถนนประเสริฐมนูกิจ เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 3 ธันวาคม 2567

ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าบุคคลดังกล่าว เป็นพนักงานของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด จริง โดยปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ขับรถไฟฟ้า โดยในช่วงเวลาเกิดเหตุ พนักงานคนดังกล่าว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมรถไฟฟ้า เนื่องจากอยู่นอกเวลาการปฏิบัติงาน

ทั้งนี้ รฟฟท. รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งและขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยบริษัทฯ มิได้นิ่งนอนใจ เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฏหมาย และส่งผลกระทบให้มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน และได้รับบาดเจ็บต่อร่างกาย รวมถึงส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ขององค์กรเป็นอย่างมาก

โดยบริษัทฯ จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยดำเนินการเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย  ส่วนที่ 1 ย้ายการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานที่กระทำความผิดเป็นการชั่วคราวโดยให้ขึ้นตรงกับส่วนกลาง

ส่วนที่ 2 พักงาน ไม่น้อยกว่า 15 วัน โดยไม่ได้รับค่าจ้าง ในระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริง

ส่วนที่ 3 หากพบว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรง จะดำเนินการให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจทันที ทั้งนี้ จะเร่งสอบสวนและหาข้อสรุปให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

----------------------------------

ขณะที่วานนี้ (9 ธ.ค.67) ที่ สน.บางเขน ภายหลังประชุมยาวนาน 2 ชม. กรณีตำรวจจราจร (บก.จร. ) 7 นายรุมทำร้ายร่างกายประชาชน  พ.ต.อ.ธิติพงค์ ภิวัฒน์วุฒิกุล รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 เปิดเผยว่า  ตั้งแต่ที่ได้รับแจ้งเหตุในวันที่ 4 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานและได้สอบปากคำทั้งครอบครัวของผู้บาดเจ็บไปประกอบสำนวนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนก็ทำการไล่กล้องวงจรปิดแล้ว กระทั่งเจอจุดที่มีการตั้งด่านและพบว่ามีการตั้งด่านในวันเกิดเหตุจริง และมีการติดตามรถผู้บาดเจ็บจริง

ส่วนที่เกิดเหตุทาง สน. บางเขน ได้ทำการค้นหาและไม่เจอว่าเป็นจุดไหน กระทั่งวันที่ 5 ธ.ค. ครอบครัวของผู้บาดเจ็บได้มาชี้จุดเกิดเหตุว่าเป็นตรงไหน จากนั้นทางฝ่ายสืบสวนก็มีการไล่กล้องวงจรปิด และได้บันทึกภาพไปเรียบร้อย เพื่อเป็นหลักฐานประกอบสำนวนในการสอบสวน

หลังจากนั้นได้มีการสอบสวนผู้บาดเจ็บทราบว่าได้ให้การสอดคล้องกับข้อมูลกล้องวงจรปิดที่เกิดขึ้น จึงได้มีการเรียกตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 คน มาแจ้งข้อกล่าวหาเรียบร้อย ในเบื้องต้นมีการแจ้งไป 2 ข้อกล่าวหาคือ มาตรา 157 และร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าไม่มีเจตนาทำร้ายร่างกาย เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นสิทธิที่ผู้ต้องหาให้การได้


จากนั้นคณะกรรมการได้มีการประชุมกันและได้ปรึกษาได้ความว่า พฤติกรรมของผู้ต้องหาที่มีการกระทำแบบนี้ คาดว่าเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ตามมาตรา 6 และจะทำหนังสือไปถึงอัยการ เพื่อร่วมกันสอบสวน โดยหากพบว่ามีการกระทำผิดจริงก็จะแจ้งข้อกล่าวเพิ่ม


เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีกรอบระยะเวลาทำสำนวน 30 วัน ก่อนส่งให้ทาง ป.ป.ช. พิจารณาว่าจะรับทำคดีเอง หรือส่งกลับมาให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับดำเนินการ ส่วนการพิจารณาของ ป.ป.ช. ไม่สามารถก้าวล่วงได้ แต่คาดว่าน่าจะเร่งรัดในการทำคดีเช่นเดียวกัน


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/GuDuPRDbfXw

คุณอาจสนใจ

Related News