สังคม
‘สนธิ’ จี้สอบมรรยาท 2 ทนายดัง ด้าน ‘ปานเทพ’ เปิดหลักฐานใหม่ มัดตัว ‘ทนายตั้ม’ แฉพิรุธสัญญาเงิน 71 ล้าน
โดย petchpawee_k
22 พ.ย. 2567
15 views
รอง ผบช.ก. เผย มรดกเจ๊อ้อย ยังไม่พบความผิด ด้าน GPS เป็นของรถอยู่แล้ว แต่จะเร่งตรวจสอบเพิ่ม ส่วน 2 คนสนิท “ทนายตั้ม” ที่สอบไปแล้วยังไม่ได้กันใครเป็นพยาน ยันยังไม่พบความผิดปม "พินัยกรรม-GPS"
วานนี้ (21 พ.ย.) พลตำรวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยความคืบหน้าการประชุมความคืบคดีของนางสาวจตุพร อุบลเลิศ หรือ “เจ๊อ้อย” ที่เมื่อวันที่ 20 พ.ย. มีการเรียกมาให้ปากคำเพิ่มเติม นานกว่า 12 ชั่วโมง เนื่องจากพนักงานที่ทำสำนวนพบว่ายังมีบางประเด็นไม่ชัดเจน ก็เลยต้องเรียกมาสอบเพื่อให้ทุกอย่างครบถ้วน ซึ่งเมื่อคืนเป็นการสอบเน้นในเรื่องเดิม ก่อนที่ผู้เสียหายจะเดินทางกลับต่างปนะเทศ
ส่วนของประเด็นอื่น ๆ ก็มีการสอบถามบ้าง และนำมาประกอบกัน อย่างเช่น เรื่องของมรดก ที่นายปายเทพ ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ พลตำรวจโทสุวัฒน์ บอกว่า จากการสอบปากคำเจ๊อ้อย ยังไม่มีความผิดอะไรที่ปรากฏขึ้น ได้มีการสอบสวนไปหมดแล้ว ส่วนการติด GPS บนรถเบนซ์ ของเจ๊อ้อย เบื้องต้นตำรวจที่ได้รับข้อมูลมาว่า GPS ที่ติดอยู่กับรถดังกล่าว เป็นระบบ GPS ที่มีในรถอยู่แล้ว ใครเป็นคนซื้อรถก็จะได้ ID ในการ Login ซึ่งเบื้องต้นในเรื่องนี้ตำรวจกำลังทำการตรวจสอบเพิ่มเติมอยู่ ไม่ขอลงรายละเอียดมาก
ส่วนคนสนิทของทนายตั้ม 2 คน ที่ตำรวจเรียกมาสอบก่อนหน้านี้ (ดาว พี่สาวเมียทนายตั้ม - เล็ก คนสนิททนายตั้ม) ตอนนี้ยังไม่ได้กันใครเป็นพยาน ซึ่งตอนนี้ตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน และจะพิจารณาอีกทีว่าใครมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่ หรือเป็นแค่ส่วนหนึ่งในเหตุการณ์นั้นแต่ไม่มีเจตนาร่วมด้วย ทุกอย่างจะทำด้วยความรอบคอบ
ส่วนความคืบหน้าของคดี เจ๊อ้อย ทั้ง 4 เคส ( เงิน 71 ล้าน / เงิน 9 ล้าน / เงิน 13 ล้าน และเงิน 39 ) ตอนนี้มีการคุยกับพนักงานสอบสวน เห็นว่าหลักฐานค่อนข้างชัดเจนพอสมควรในทุกเรื่อง ตอนนี้ก็อยู่ที่พยานหลักฐานและนำมาวิเคราะห์กันอีกทีว่าใครมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเพิ่มหรือไม่ /ส่วนข้อหาที่แจ้งไปก่อนหน้านี้กับทนายตั้ม ทางตำรวจพยายามสรุปสำนวนให้เสร็จภายในฝาก 3 และส่งอัยการในฝาก 4 เพื่อให้อัยการได้ตรวจดูสำนวนต่างๆ เพราะเรื่องนี้มีหลายกรรมหลายวาระ และมีความละเอียดสมบูรณ์ที่สุด
---------------------------
“สนธิ” รับมอบอำนาจจากมาดามอ้อย เดินหน้าสุดซอยจี้สภาทนายความ สอบมรรยาท 2 ทนายดัง “ษิทรา-เดชา” ลั่นทนายตั้ม-พวก เตรียมโดนข้อหนักอั้งยี่และซ่องโจร ยืนยันคดีนี้ไม่มีเจรจาเดินหน้าอย่างเดียว จ่อร้องเรียนอีกปมภาษีรายได้ในเดือน ธ.ค. นี้ ปานเทพ” เปิดหลักฐานใหม่ มัดตัว “ทนายตั้ม” พบพิรุธสัญญาจ้างทำแอปฯ หวย 71 ล้าน หลายจุด เชื่อหวังแก้สัญญา “มาดามอ้อย” แผนสูงหวังฮุบมรดกด้วย
วานนี้ (21พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส พร้อมด้วยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เดินทางไปยังสภาทนายความ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการมรรยาททนายความ ให้ดำเนินการตรวจสอบและเอาผิดมรรยาทนายความกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา
นายสนธิ กล่าวว่า ตนกับมาดามอ้อยพร้อมทั้ง อ.ปานเทพ ขอบคุณสื่อมวลชนทุกสำนักที่ร่วมมือร่วมใจทำข่าวนี้ด้วยความมุมานะและดีใจที่สื่อมวลชนช่วยกันทำให้ความจริงปรากฎ เพราะสิ่งที่ทนายตั้มทำกับมาดามอ้อยนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการฉ้อโกงหรือฟอกเงิน แต่เป็นขบวนการของคนที่รู้กฎหมาย แล้วใช้ความรู้กฎหมายมาเอารัดเอาเปรียบคนที่ไม่รู้กฎหมาย โดยเฉพาะกรณีมาดามอ้อย
ส่วนการเดินทางมาสภาทนายความนั้น เนื่องจากตนได้รับมอบอำนาจจากมาดามอ้อย ให้ดำเนินคดีและดำเนินกระบวนการทางยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ทนายตั้ม ฉ้อโกงทั้งหมด จึงมายื่นเรื่องในนามมาดามอ้อย ต่อสภาทนายความให้ดำเนินการเอาผิดทางมรรยาททนายความกับทนายตั้ม ซึ่งกระทำผิดไร้จรรยาบรรณ ส่วนทางสภาทนายความจะดำเนินการลงโทษทนายตั้มอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพักใบอนุญาตทนายความหรือถอดชื่อจากทะเบียนทนายความ ก็สุดแท้แต่สภาทนายความจะพิจารณา
นอกจากนี้ ตนยังได้ยื่นเรื่องเพื่อเอาผิดมรรยาททนายความกับทนายเดชา เนื่องจากทำผิดจรรยาบรรณทนายความในการกล่าวหาตนเองโดยที่ไม่มีพยานหลักฐาน เช่น กล่าวหาว่าตนฉ้อโกงเงินธนาคาร ตบทรัพย์สายการบินใหญ่ของประเทศ หรือตบทรัพย์นักการเมืองอาวุโสรายหนึ่ง พร้อมกันนี้ยังได้ยื่นพยานหลักฐานที่เป็นบรรดาโพสต์ เฟซบุ๊กต่างๆ และการพูดวิเคราะห์ของทนายเดชา ซึ่งลืมตัวไปว่าเป็นทนายความแต่ออกมาพูดสนุกปาก ตนหวังว่าทางสภาทนายความจะให้ความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า จะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับทนายเดชา ด้วยหรือไม่ นายสนธิกล่าวว่า ให้รอรับของขวัญจากตนได้เลยในเดือนธันวาคม นี้ ตนเชื่อมั่นว่า สภาทนายความในยุคนี้ จะสามารถดำเนินการเอาผิดกับทนายความทั้งสองได้ เนื่องจากจากการพูดคุยกับผู้บริหารสภาทนายความก็ทราบว่า ได้ดำเนินการทางมรรยาททนายความและลบชื่อทนายความออกหลายคนไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ประกาศสู่สาธารณะ ตนจึงเสนอไปว่า สภาทนายความควรต้องประกาศให้สาธารณชนรับทราบด้วยว่าลบชื่อใครออกจากทะเบียนทนายความแล้วบ้าง
นายสนธิ ระบุอีกว่า มาดามอ้อยพบเจอกับทนายตั้มได้จากการโพสต์เฟซบุ๊ก ซึ่งลักษณะการโพสต์เป็นการอวยตัวเอง ตนมองว่าหมดยุคหมดสมัยแล้วที่ทนายต้องมาโอ้อวดตัวเองในโลกออนไลน์ รวมทั้งการโอ้อวดดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณภาพและเป็นการหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ตนเองต้องออกมาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เพราะทนายตั้มมีความยิ่งใหญ่มากจนไม่มีใครกล้ามาแตะ สำหรับตนแล้วไม่ว่าใครจะมีความยิ่งใหญ่แค่ไหน หากมีความอยุติธรรมเกิดขึ้น ตนรับไม่ได้และจะจัดการเรื่องนั้น
ส่วนการที่ตนได้รับมอบอำนาจจากมาดามอ้อย ให้รับผิดชอบเกี่ยวกับการดำเนินคดีกับทนายตั้มทั้งหมดนั้น ตนในฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจขอยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้นกับทนายตั้มเด็ดขาด จะดำเนินคดีจนสุดซอย ถ้าซอยมันตันตนก็จะทะลุซอยออกไป เพราะกรณีของมาดามอ้อย นั้นเป็นการต่อสู้กับผู้ที่รู้เรื่องทางกฎหมายและได้ตระเตรียมสร้างพยานหลักฐานเอกสารเท็จมาต่อสู้คดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำสัญญาปลอมและพินัยกรรมปลอม ฉะนั้นทนายตั้มและทีมงานในคดีนี้ ไม่ว่าใครก็ตามนอกจากจะถูกดำเนินคดีฉ้อโกงและฟอกเงินแล้ว ก็อาจจะถูกดำเนินคดีฐานอั้งยี่ซ่องโจรซึ่งเป็นอาญาแผ่นดินและยอมความไม่ได้
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ทนายสายหยุดซึ่งเป็นทนายความของทนายตั้ม ได้แจ้งผ่านมายังทนายความของมาดามอ้อย ว่าประสงค์ที่จะขอเจรจาจ่ายเงินเพื่อให้มาดามอ้อยยุติคดี ทั้งมาดามอ้อยและคุณน้อยซึ่งเป็นเลขาส่วนตัวจึงได้มาปรึกษากับตน ตนจึงได้บอกไปว่า เป็นสิทธิ์ของมาดามอ้อย เพราะเงินดังกล่าวเป็นของมาดามอ้อย แต่คดีความดังกล่าวนั้นมีทีมงานของตนช่วยกันเปิดโปงพร้อมกับสื่อมวลชนหลายสำนัก มีประชาชนเป็นจำนวนมากทั่วประเทศที่ให้กำลังใจมาดามอ้อย อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจพนักงานสอบสวนร่วมร้อยกว่านายที่ลงมาทำคดีดังกล่าว จึงต้องคิดถึงความรู้สึกของกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย
นั่นจึงทำให้มาดามอ้อยบอกกับตนว่า เรื่องนี้ให้ตนเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว และพร้อมจะปฏิบัติตามทุกอย่าง เพราะถือว่าตนเป็นคนเดียวที่กล้าออกมาเสี่ยงกับทนายตั้ม ที่มีความสนิทสนมกับนายตำรวจระดับสูง ตนไม่มีอะไรต้องกลัวกลุ่มคนเหล่านี้ เลยเป็นที่มาที่ทำให้เมื่อคืนนี้หลังจากมาดามอ้อยสอบปากคำกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามแล้วเสร็จ จึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจมาให้ตนเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้แต่เพียงผู้เดียว ก่อนมาดามอ้อยจะเดินทางกลับฝรั่งเศสในวันนี้ (21 พ.ย.)
นายสนธิ ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ทนายสายหยุด อ้างว่ามาเจรจากับทนายความของมาดามอ้อยด้วยตนเอง ทนายตั้มไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตนมองว่าทนายสายหยุด น่าจะลืมที่เคยกล่าวกับสื่อมวลชนเอาไว้ว่า ไม่สามารถทำอะไรเองได้หากไม่ได้ถามลูกความ จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันเอง
นายสนธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในเดือนธันวาคม ตนจะไปยื่นเรื่องกับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบว่า เงินจำนวน 71 ล้านบาทที่ทนายตั้มได้มา ซึ่งแน่ชัดว่าไม่ใช่เงินที่ได้มาจากการให้โดยเสน่หานั้น ได้ดำเนินการเสียภาษีเงินได้หรือไม่ รวมทั้งให้ตรวจสอบเงินค่าจ้างที่มาดามอ้อยโอนให้ทนายตั้มเดือนละ 300,000 บาท รวม 12 เดือน เป็นเงิน 3.6 ล้านบาท ซึ่งทนายตั้ม ได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของพี่สาว อยากให้ตรวจสอบว่าเงินก้อนนี้มีการเสียภาษีหรือไม่ อีกทั้งขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของพี่สาวทนายตั้มเพราะทราบว่าเป็นแม่บ้านผู้ถือบัญชีเงินคอยรับเงินเข้าออกจากทนายตั้มว่ามีเส้นเงินที่ผิดกฎหมายหรือไม่และเสียภาษีถูกต้องหรือไม่
ขณะที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้เปิดโปงถึงประเด็นข้อพิรุธของทนายตั้มเชื่อว่า อาจจะมีการส่งพยานหลักฐานเท็จให้กับทางพนักงานสอบสวน โดยได้ระบุถึงสัญญาว่าจ้างทำ Application ขายหวยออนไลน์ที่เป็นที่มาของการโกงเงิน 71 ล้านบาทซึ่งทนายตั้มเป็นตัวกลางในการทำสัญญาดังกล่าวกับบริษัททำ Application ขายหวยออนไลน์แต่ปรากฏว่าในตัวสัญญาต้นฉบับที่ทนายตั้มเก็บไว้นั้น ไม่ปรากฏการลงลายเซ็นในทุกหน้าของสัญญา อีกทั้งยังเว้นหน้าสุดท้ายเอาไว้เหลือพื้นที่เป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้มีการลงลายเซ็นของคู่สัญญาปิดท้ายหน้า
นอกจากนี้การลงนามสัญญาฉบับดังกล่าวนั้น ทนายตั้ม ให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นคนละแผ่น โดยให้ฝั่งบริษัทเป็นคนลงน้ำก่อน แล้วค่อยมายื่นให้มาดามอ้อยยึดลงนามทีหลัง ซึ่งถือว่าเป็นการผิดวิสัยทางกฎหมายอย่างมากและทนายตั้มในฐานะที่เป็นนักกฎหมายก็ควรจะต้องรู้ว่า การทำนิติกรรมสัญญาสองฝ่าย คู่สัญญาต้องเซ็นกำกับทุกแผ่นกระดาษเพื่อป้องกันการแก้ไขและลงนามสัญญาในแผ่นกระดาษเดียวกัน ยังไม่รวมถึงสัญญาต้นฉบับไม่มีการติดอากรแสตมป์และส่งให้คู่สัญญา
นี่จึงเป็นประเด็นที่ส่อพิรุธได้ว่า หากไม่มีการลงนามปิดท้ายใบหน้าสัญญาทุกแผ่นกระดาษนั้น ทนายตั้มอาจจะฉวยโอกาสในการแก้ไขเพิ่มเติมข้อสัญญาใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าสุดท้ายที่มีการเว้นว่างเอาไว้ซึ่งอาจจะมีการแต่งเติมข้อความในภายหลังโดยที่คู่สัญญาไม่รับทราบ อีกทั้งสัญญาข้อ 1 ที่ระบุค่าจ้างทำ Application จำนวน 2 ล้านยูโรหรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 71 ล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่าทนายตั้มและทนายสายหยุดได้ส่งต้นฉบับสัญญาดังกล่าวให้กับทางตำรวจและได้มีการตัดข้อความข้อที่ 1 ดังกล่าวออกไปหรือไม่ จึงอยากให้ทางตำรวจตรวจสอบพยานเอกสารสัญญาต้นฉบับของฝั่งทนายตั้ม ด้วย หากพบเป็นการแต่งเติมเอกสารขึ้นมาใหม่ด้วยการตัดทอนข้อความดังกล่าว อาจจะเข้าข่ายเป็นการให้การเท็จกับทั้งตำรวจ ซึ่งมีความผิดทางกฎหมายได้
ประเด็นต่อเรื่องของพินัยกรรม เชื่อว่าน่าจะมีพินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ที่ทนายตั้มได้ระบุเอาไว้ว่าจะเป็นผู้จัดการมรดกของมาดามอ้อย ในส่วนนี้อยากให้ทางตำรวจดำเนินการตรวจค้นทั้งที่สำนักงานหรือที่บ้านพักของทนายตั้มว่า พินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ถูกทำลายไปแล้วจริงหรือไม่และยังมีหลงเหลืออยู่หรือไม่ เนื่องจากเกรงว่า ใบปะหน้าที่ลงนามระบุให้ตัวทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกจะยังอยู่และจะสามารถนำมาใช้งานสวมรอยต่อไปได้ในอนาคต แม้ว่ามาดามอ้อยจะทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองไปแล้วก็ตาม แต่หากใบปะหน้าของพินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ยังอยู่ อาจจะก่อให้เกิดปัญหาผลิตพินัยกรรมใหม่ในอนาคตได้
จึงประกาศตรงนี้ว่า มาดามอ้อยไม่ยินยอมให้ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกและเชื่อว่า พฤติการณ์ซุกพินัยกรรมของทนายตั้มนั้น ส่อให้เห็นว่านอกจากทนายตั้มเจตนาจะฉ้อโกงแล้ว ยังตระเตรียมที่จะปั้นพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีในอนาคตอีกด้วย จึงอยากจะให้ทางตำรวจเร่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า อยากให้ตำรวจดำเนินการตรวจสอบบุคคลรอบตัวของทนายตั้ม ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพี่สาว ของทนายตั้มทั้งสองคน และคนที่ชื่อดาวที่ไปทำหน้าที่ขนเงิน 20 ล้านบาท จากจำนวน 39 ล้านบาทที่ธนาคารในศูนย์การค้าย่านลาดพร้าวไปเก็บไว้ที่บ้านย่านพุทธมณฑล ซึ่งยังพบอีกว่าดาวมีเงินบัญชีหมุนเวียนในธนาคารมากถึง 50 ล้านบาท เรื่องนี้อยากให้ทางตำรวจเร่งดำเนินการตรวจสอบและนำตัวดาวมาให้ปากคำ ทั้งเรื่องของเส้นทางการเงิน ที่มาของเงิน ใครคือผู้บงการให้ถอนเงินและเงินจำนวน 20 ล้านบาทอยู่ที่ไหน โดยตนแนะนำว่าคนที่ชื่อดาวนั้น ควรให้การที่เป็นประโยชน์กับตำรวจ เพราะมิเช่นนั้น อาจจะถูกเปลี่ยนสถานะจากพยานบุคคลเป็นจำเลยร่วมได้
นอกจากนี้ อยากให้ตรวจสอบพี่สาวของทนายตั้มอีกคนที่ชื่อว่าอ้อ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เนื่องจากพบว่าทนายตั้มเคยนัดแนะให้ลูกสาวของอ้อไปเกี่ยวดองแต่งงานกับลูกชายของมาดามอ้อยอีกด้วย นายปานเทพ กล่าวปิดท้ายว่าขณะนี้มาดามอ้อยได้เดินทางกลับไปยังฝรั่งเศสแล้ว เชื่อมั่นว่าหลังจากนี้ ตำรวจสอบสวนกลางจะสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงมาเปิดเผยต่อสาธารณชนเพื่อให้ความจริงในคดีทนายตั้มปรากฏต่อไป
นายปานเทพ ยังแฉเรื่องการอยากให้ลูกชายของพี่อ้อย ไปดองกับลูกสาวของพี่สาวทนายตั้ม (ชื่อเดียร์) ถึงขนาดว่า ทนายตั้มจัดซื้อดอกไม้ ครั้งละ 9,000 บาท ให้ลูกชายพี่อ้อยไปมอบให้ลูกสาวของพี่สาว นายปานเทพ บอกว่า เงินนี้ก็ไปเบิกกับพี่อ้อย ไม่ได้ใช้เงินตัวเอง
ด้านนายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ กำกับดูแลงานมรรยาททนายความ สภาทนายความ ซึ่งเป็นผู้รับมอบหนังสือร้องเรียนจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวภายหลังรับเอกสารว่า หลังจากนี้จะส่งเรื่องให้ประธานกรรมการมรรยาททนายความดำเนินการตรวจสอบ ก่อนจะมอบหมายให้รองประธานมรรยาททนายความท่านใดท่านหนึ่งพิจารณาว่าจะรับคำกล่าวหาหรือไม่ ถ้ารับคำร้องก็จะเข้าสู่กระบวนการตั้งกรรมการสอบสวน แต่ก่อนตั้งกรรมการสอบสวนจะต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ทราบเพื่อแก้ต่างคำกล่าวหา ก็จะทำให้การพิจารณาคดีมารยาททนายความรวดเร็วขึ้น คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง
ส่วนการลงโทษปกติแล้วจะมีตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใบอนุญาตทนายความ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 3 ปี หากรุนแรงสุดก็จะเพิกถอนใบอนุญาตทนายความ แต่ผู้ถูกกล่าวหาสามารถอุทธรณ์กับ สภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความหรือ รมว.ยุติธรรมหรือฟ้องศาลปกครองก็ได้ ส่วนกรณีของทนายตั้ม ที่ก่อนหน้านี้มีการร้องเรียนกับ คณะกรรมการมรรยาททนายความ นายสุชาติ กล่าวว่า เรื่องยังคงอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาททนายความ ในส่วนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นไปตามกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลหรือ PDPA
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/jMNkERNJ7aI
แท็กที่เกี่ยวข้อง ทนายตั้ม ,สนธิลิ้มทองกุล ,มาดามอ้อย ,ปานเทพ ,เจ๊อ้อย