สังคม
'เจ๊พัช' นอนคุก ไร้คนประกัน - ‘บิ๊กเต่า’ ขอเวลา 10 วัน สางคดีคลิปเสียง 20 ล้าน
โดย nattachat_c
19 พ.ย. 2567
16 views
'กฤษอนงค์' นอนคุก ไร้เงาคนยื่นประกัน คดีรีดเงินบอสพอล 7.5 แสนบาท สีหน้าเรียบเฉย ปัตตอบสื่อทุกคำถาม ดูอิดโรยแต่ยังพอมีรอยยิ้ม
เมื่อช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. วานนี้ (18 พ.ย.) ตำรวจกองปราบปราม ได้คุมตัว นางสาว กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือ 'เจ๊พัช' ประธานอำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์ ผู้ต้องหาในข้อหา กรรโชกรทรัพย์ และเป็นตัวกลางเรียกรับสินบน ในคดีรีดเงินบอสพอล จำนวน 7.5 แสนบาท เป็นค่าวิ่งเต้นให้ตำรวจไซเบอร์ 3 แสน และค่าดำเนินงาน 4.5 แสน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ไม่มีทนายความ หรือคนใกล้ชิด มายื่นขอประกันตัวเจ๊พัช ทำให้ในช่วงเย็น วานนี้ (18 พ.ย. 67) จะต้องส่งตัวเจ๊พัชเข้าทัณฑสถานหญิงกลาง
ขณะที่ฝั่งทนายบอสพอล ได้เซ็นหนังสือมอบอำนาจ ลงชื่อในท้ายเอกสาร เป็นชื่อของนายวรัตน์พล วรัตน์วรกุล หรือ 'บอสพอล' มายื่นคัดค้านการประกันตัว น.ส.กฤษอนงค์ด้วย
โดยหลังจากเข้าไปภายในอาคารศาลฯ เกือบ 1 ชั่วโมง เวลา 14.40 น. นายต่อพงศ์ พงศ์สุนนท์ ทีมทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากบอสพอล ออกมาเปิดเผยว่า ตัวเองได้รับมอบหมายให้มายื่นเอกสารคัดค้านการประกันตัว โดยไม่ได้อ่านรายละเอียดเงื่อนไขการยื่นคัดค้านในเอกสาร โดยเท่าที่ทราบ ขณะนี้ ฝั่งคู่กรณีไม่ได้ยื่นประกันตัว และส่วนตัวตอนที่เข้าไป ก็ไม่ได้พบทนายความของฝั่งคู่กรณี
---------------------------------------------
‘บิ๊กเต่า’ ประชุม 6 คดี เกี่ยวข้องกับดิไอคอนกรุ๊ป ระบุ คดีคลิปเสียง 20 ล้าน ‘กฤษอนงค์-ฟิล์ม’ ขอเวลา 10 วันชัดเจน ส่วนคดี เอก สายไหมต้องรอด-พยานเท็จ คาดชัดเจนสัปดาห์นี้ พร้อมตรวจพบเส้นทางการเงินที่โยงถึงนายสามารถ กว่า 10 ล้านบาท ว่า มีความผิดหรือไม่
ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เรียกประชุมชุดสืบสวนสอบสวน กองบังคับการปราบปราม และกองบังคับการตำรวจ ปปป. เพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดีในหลายประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์จากดิไอคอน กรุ๊ป
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยภายหลังการประชุมว่า วันนี้ที่ประชุมมีการหารือประมาณ 5-6 ประเด็น เรื่องแรกคือ กรณีของนางสาวกฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวต้านโกงซึ่ง มี 4 เรื่องย่อย ประกอบด้วย
1. การเรียกรับเงิน 7.5 แสนบาท ส่วนนี้ได้ดำเนินการออกหมายจับไปแล้ว
2. หนุ่ม กรรชัย เข้าแจ้งความหมิ่นประมาท จากการที่นางสาวกฤษอนงค์ มีพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์แลกกับการออกรายการ
3. นางสาวจิราพร สินธุไพร (รมต.น้ำ) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบหมายให้ทนายความมาแจ้งความหมิ่นประมาท
4. บอสปัน-ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ผู้ต้องหาคดีดิไอคอน กรุ๊ป ที่นางสาวกฤษอนงค์ ร่วมกับ ฟิลม์-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ มีการเรียกรับเงินจำนวน 20 ล้านบาท ตามคลิปเสียง โดยตัวแทนผู้เสียหาย ประสานตำรวจว่า จะเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ ในวันที่ 19 พ.ย. 67
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า กรณีของฟิล์มและนางสาวกฤษอนงค์ ตำรวจจะพยายามดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน ส่วนจะต้องเรียกตัวฟิล์ม หรือผู้กล่าวหา มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องก่อน ส่วนจะออกหมายจับ หรือหมายเรียกเลย หรือไม่นั้น ต้องขอดูเรื่องราวทั้งหมดก่อนว่า รุนแรงหรือไม่ ทำเป็นปกติธุระหรือไม่ จากการสอบสวนเบื้องต้น อดีตสามีของนางสาวกฤษอนงค์ ยังไม่พบความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงในการกระทำความผิด
ด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม อธิบายเพิ่มเติมว่า มี 3 เรื่อง ที่กองบังคับการปราบปราม รับไว้ดำเนินการ คือ
1. กรณีคลิปเสียง 20 ล้าน ที่ยังรอผู้เสียหายมาแจ้งความ
2. คดีหมิ่นประมาทที่ หนุ่ม กรรชัย แจ้งความ
3. รัฐมนตรีฯ มาแจ้งความ ทำให้ต้องรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบพยานที่เกี่ยวข้องก่อน จึงขอเวลา 10 วัน ในการดำเนินการ ซึ่งขณะนี้ชุดสืบสวนได้เก็บรวบรวมหลักฐานไว้ประมาณหนึ่งแล้ว
ส่วนจะเป็นหมายเรียก หรือหมายจับ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ยืนยันได้ว่า มีพยานวัตถุที่สำคัญคือคลิปเสียง จึงต้องสอบปากคำพยานมาประกอบ ทั้งนี้ จะเข้าข่ายความผิดข้อหาใดนั้น ต้องดูพฤติการณ์ ไม่ว่าจะเป็นพยายามฉ้อโกง หรือพยายามกรรโชกทรัพย์ แต่ดูเจตนารมย์ของผู้ต้องหาแล้ว เป็นการข่มขู่บริษัทมากกว่า จึงต้องขอถอดคลิปเสียงโดยละเอียดอีกครั้ง
“หากข้อเท็จจริง เป็นการหลอกเพื่อเอาเงิน 20 ล้าน ก็เป็นการพยายามฉ้อโกง แต่หากสิ่งที่พูดเป็นการใช้ถ้อยคำข่มขู่ให้กลัวว่าจะต้องถูกดำเนินการ ทำลายให้เสียงชื่อเสียหาย ก็จะเป็นพยายามกรรโชกได้ จึงจะต้องทำการพิจารณาเพื่อหาข้อยุติเรื่องข้อหาอีกครั้ง และพยานวัตถุที่เป็นคลิปเสียงชัดเจนอยู่แล้วว่า ผู้พูดมีเจตนาอย่างไร ใช้ถ้อยคำอย่างไร วิญญูชนก็ดูรู้ว่าเป็นการพูดหลอกหรือข่มขู่ด้วย” โดยในคดีคลิปเสียง 20 ล้าน คงจะต้องสอบปากคำประมาณ 10 ปาก รวมถึงบอสปัน ด้วย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังกล่าวอีกว่า ในที่ประชุมยังมีการติดตามความคืบหน้าคดีของนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจเฟซบุ๊กสายไหมต้องรอด จากกรณี ที่พยานเท็จเข้ามาให้ข้อมูลกับตำรวจ ซึ่งขณะนี้ ความคืบหน้าอยู่ที่ประมาณ 90% หากไม่ติดปัญหา จะมีความชัดเจนในคดีภายในสัปดาห์นี้ และขอคุยกับหัวหน้าพนักงานสอบสวนก่อน ส่วนจะเป็นหมายเรียก หรือหมายจับนั้น ก็ขอคุยกับพนักงานสอบสวนก่อน ส่วนจะถูกดำเนินคดีข้อหาอะไรนั้น ทางผู้เสียหายมาร้อง ข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และจะต้องพิจารณาว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทด้วยหรือไม่ และยังสรุปไม่ได้ว่าจะโดนดำเนินคดีทั้ง นายเอกภพ และพยานเท็จ 2 คน เลยหรือไม่
“ชัดเจนอยู่แล้วเรื่องที่ปรากฎในสังคม แล้วทำให้มีความตื่นตระหนก เอาข้อมูลที่ไม่จริง ทั้งที่พยานไม่ยืนยันในข้อมูล แล้วเอาข้อมูลที่ไม่จริงมายืนยันว่าจริง ทำให้สังคม และหน่วยงานต่าง ๆ เกิดความเสียหาย ดังนั้น เราในฐานะคนกลาง และในการดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางการเงินของดิไอคอน กรุ๊ป และไปเชื่อมโยงกับเป็นกรณี นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่การสืบสวนคดีหลักอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ด้วยว่าทางตำรวจพบเส้นทางการเงินเพิ่มเติม ที่มีความเกี่ยวข้องกับนายสามารถ เป็นการโอนเงินจากแม่ ไปยังนายสามารถ ประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ และน่าสนใจ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลว่าบัญชีที่รับเงินใครถือบัญชี
ซึ่งขณะนี้ ยังไม่สามารถดำเนินคดีกับนายสามารถ ได้เพราะยังไม่มีการร้องทุกข์แจ้งความ ส่วนการแต่งตั้งต้องสอบถามไปยังกระทรวงต่าง ๆ เพื่อความชัดเจน ทั้งนี้ แม้ไม่มีใครแจ้งความเอาผิด แต่บางช่วง นายสามารถก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งก็อาจจะเข้าข่ายได้ ดังนั้น เมื่อดีเอสไอตั้งข้อหาฟอกเงิน จึงต้องตรวจสอบว่าจะเข้าข่ายเป็นคดีอาญาทุจริตได้หรือไม่ ต้องเอาหลักฐานไทม์ไลน์มาประกอบต้องขอเวลาดำเนินการก่อนว่า จะสามารถเอาผิดนายสามารถ ได้หรือไม่
ถ้าไม่ได้ก็จะต้องทำรายงานการสืบสวน ส่งไปให้ดีเอสไอ เพื่อประกอบเรื่องของการฟอกเงิน ยืนยันว่าตำรวจยังไม่ได้ดำเนินคดีเป็นแค่การตรวจสอบ เนื่องจากเป็นข้อมูลที่พึ่งได้รับมา ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบว่าต้นทางของเงินจำนวนนี้มาจากที่ใด ทราบเพียงว่าเงินจำนวนนี้เกิดขึ้นช่วงปี 2564 - 2567
“พบเส้นเงินเดียว 2 ล้านกว่า แต่พบบัญชีมารดา โอนให้สามารถอีก 10 กว่าล้าน จึงยังแตกต่างกัน แสดงว่า ต้องมีบัญชีไหนที่เข้ามาอีก นอกจากบัญชีของบอสพอล จึงต้องไปตรวจสอบเส้นเงิน แตกเส้นเงินโดยละเอียด ซึ่งเงินจำนวน 10 กว่าล้าน ในระยะเวลา 2-3 ปี คนธรรมดาไม่สามารถไปหาได้ง่ายจึ งมองว่าเป็นเงินที่ผิดปกติ” ทั้งนี้ ต้องขอดูเส้นเงินทั้งหมดก่อน เพราะนายสามารถมีความเชี่ยวชาญด้านแชร์ลูกโซ่ คล้ายกับนางสาวกฤษอนงค์ จึงไม่ทราบว่าการทำธุรกิจของนายสามารถจะไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ประกอบการไหนอีกหรือไม่
---------------------------------------
ตัวแทนจำหน่าย ดิ ไอคอน กรุ๊ป รวมตัวร้องตำรวจขอให้ปลดอายัดบัญชีธนาคาร หลังถูกอายัดทั้งหมด ทำให้เดือดร้อน ด้านผู้การ ปคบ. ระบุ ปลดอายัดบัญชีเป็นอำนาจดีเอสไอ
ในวันเดียวกัน เวลา 10.30 น. กลุ่มตัวแทนจำหน่ายบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ประมาณ 40 คน เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปลดอายัดบัญชีธนาคาร ที่เคยใช้โอนเงินให้ บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป หลังถูกอายัดไว้ตรวจสอบทั้งหมดทำให้เดือดร้อน ไม่สามารถนำเงินมาใช้จ่ายได้
โดยหนึ่งในตัวแทนจำหน่าย บอกว่า ตนเองเคยลงทุนกับ ดิ ไอคอน กรุ๊ป เมื่อประมาณ 2-3 ปีแล้ว โดยลงทุนซื้อของแบบซื้อมาขายไป แล้วก็ไม่ได้ทำอีก จนเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ตนเองถูกอายัดบัญชีธนาคาร พอโทรศัพท์ไปสอบถามธนาคาร ก็แจ้งว่า เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอนกรุ๊ป และวันที่ 13 พฤศจิกายน ก็ถูกอายัดไปอีกบัญชี ทำให้ได้รับความเดือดร้อนในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะซื้อขายของได้ รวมถึงเรื่องที่จะนำไปใช้จ่าย ก็ไม่สามารถเบิกออกมาได้เลย จึงต้องการมาขอให้ตำรวจช่วยปลดการอายัดบัญชีให้ก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยติดต่อไปทางตำรวจที่ดูแลคดีแล้ว ก็ได้รับคำตอบว่า จะมีการตั้งเรื่องสอบสวนแต่ก็เงียบไป ตอนนี้ ตนก็ต้องไปขอเงินแม่ใช้ เพราะเงินของตนเองอยู่ในบัญชีทั้งหมด ทั้งนี้ ตนไม่ขอตอบเรื่องรายละเอียดการทำธุรกิจกับ ดิ ไอคอน กรุ๊ป เพราะวันนี้ตั้งใจมาเพราะเดือดร้อนเรื่องบัญชีที่ถูกอายัดเท่านั้น แต่ไม่ทราบรายละเอียดเชิงลึก
ขณะที่ตัวแทนจำหน่ายอีกคนที่เดินทางมาจากพัทยา ได้ร้องไห้ และยกมือไหว้ต่อหน้าสื่อมวลชน บอกว่า ขอความกรุณา อยากให้ตำรวจช่วยปลดอายัดบัญชีให้ เพราะตอนนี้เดือดร้อนมาก โดยตนเองเพียงแค่เคยเปิดบิลกับ ดิ ไอคอน กรุ๊ป เท่านั้น เมื่อปี 2563 โดยเป็นช่วงโควิด จึงหาเรียนเรื่องการขายของออนไลน์ และเปิดบิลระดับดีลเลอร์ 2.5 แสนบาท ซึ่งตนเองมีหน้าร้านทำธุรกิจขายของอยู่แล้ว จึงนำสินค้ามาวางขายที่หน้าร้าน และขายได้จนหมดใน 1 ปี แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าไม่ถนัดจึงเลิกทำไป กลับมาทำอาชีพเดิม
แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ตนกลับถูกอายัดบัญชี ทั้งที่เลิกทำมา 3 ปีแล้ว ทำให้ได้รับความเดือดร้อนมาก ไม่สามารถทำธุรกิจขายของได้ ลูกค้าก็โอนเงินเข้าไม่ได้ และร้านค้าก็มีค่าใช้จ่ายที่ต้องนำเงินออกมา โดยตนถูกอายัดไปทั้งหมด 7 บัญชี มีเงินประมาณ 3 - 4 หมื่นบาทต่อ 1 บัญชี ซึ่งสำหรับตนเงินแค่ 1,000 บาท ก็สำคัญ และจำเป็นแล้ว ซึ่งตนเคยถามเจ้าหน้าที่ไปก็ได้รับคำตอบเพียงว่าให้รอ แต่ตนรอไม่ได้ เพราะต้องกินต้องใช้ ตอนนี้ก็ได้แต่นำเงินสดที่พอมีเก็บไว้อยู่บ้างออกมาใช้จ่าย
ด้านพลตำรวจตรีวิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า สำหรับบัญชีที่ถูกอายัดทั้งหมด คือบัญชีที่ผู้เสียหายที่เข้ามาแจ้งความได้ระบุไว้ในสำนวนว่า ได้มีการโอนเงินลงทุนเปิดบิล จ่ายค่าสินค้า ไปยังบัญชีเหล่านี้ ทำให้ต้องมีการอายัดบัญชีไว้ตรวจสอบ
ซึ่งตอนนี้ สำนวนคดีทั้งหมด ตำรวจได้มีการส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดังนั้น อำนาจในการที่จะปลดอายัดบัญชีได้หรือไม่ จะอยู่ที่การพิจารณาของกรมสอบสวนคดีพิเศษทั้งหมด แต่หากมีผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกอายัดบัญชีก็สามารถที่จะเข้าแจ้งความได้ ทั้งที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสถานีตำรวจท้องที่ โดยตำรวจก็จะรวบรวมเรื่องทั้งหมดส่งต่อให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้พิจารณาต่อไป หรือจะเข้าแจ้งขอให้ปลดอายัดบัญชีโดยตรงกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษก็ได้
---------------------------------
'ฟิล์ม รัฐภูมิ' ย่องเงียบ ลาออกสมาชิกพรรค พปชร.กับ กกต.แล้ว หลังมีคลิปเสียงรับทรัพย์บอส ดิไอคอน สะพัดกองปราบประชุมออกหมายจับ-หมายเรียก หรือไม่
จากกรณีมีคลิปเสียง นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ 'ฟิล์ม รัฐภูมิ' อดีตรองโฆษกและอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ถูกเชื่อมโยง เรียกรับทรัพย์บอส ดิไอคอน กรุ๊ป แลกกับการออกรายการโหนกระแส ของ"หนุ่ม กรรชัย"และมีการขุดหลายคดีในอดีตของ ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’
ซึ่งมีรายงานข่าวว่า เมื่อวานนี้ (18 พ.ย. 67) พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะเรียกประชุมพนักงานสอบสวนว่า จะออกหมายเรียกหรือออกหมายจับ 'ฟิล์ม รัฐภูมิ' หรือไม่
โดยล่าสุด มีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐว่า 'ฟิล์ม รัฐภูมิ' ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้ว เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเป็นการยื่นลาออก กับ กกต ซึ่งถือเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐคนที่ 2 ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอน กรุ๊ป และต้องลาออกจากพร
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/kZOCZJ0pzJ8