สังคม

'ปานเทพ' แฉขบวนการทำพินัยกรรม 'เจ๊อ้อย' ให้ 'ทนายตั้ม' เป็น ผจก.มรดก

โดย nattachat_c

19 พ.ย. 2567

9 views

'ปานเทพ' เข้าให้ปากคำตำรวจ เรื่อง 'ทนายตั้ม' คดีฉ้อโกง จ่อเปิดคลิปเกี่ยวข้องทางคดี ยันรู้เส้นเงิน ปม 39 ล้าน ว่าแบ่งใครบ้าง เชื่อคดีนี้จะคลี่คลายในเร็ววัน ชี้ทนายตั้ม และพวก ทำเป็นขบวนการ มีการวางแผนล่วงหน้า

วานนี้ (18 พ.ย. 67) เวลา 12.50 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำ ในฐานะพยานในคดีของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ 'ทนายตั้ม' ในคดีฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ 'เจ๊อ้อย'  โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตนมาเป็นพยาน ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับเรื่องจาก 'เจ๊อ้อย' โดยเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (18 พ.ย. 67) 'เจ๊อ้อย' ได้เดินทางมาที่บ้านพระอาทิตย์ เป็นครั้งที่ 3 เพื่อมาขอบคุณ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เว็บไซต์ผู้จัดการ และฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกค่าย ที่ให้ข้อมูลเรื่องนี้

นอกจากนี้ ยังมีการสัมภาษณ์เพิ่มเติมพิเศษในประเด็นอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ทำให้เราติดตามประเด็นนี้ต่อไป โดยเฉพาะคลิปที่สื่อมวลชนยังไม่ทราบ โดยเราจะเผยแพร่เป็นระยะ และจะสัมภาษณ์ 'เจ๊อ้อย' เป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม รวมถึงหลังจากนี้ รายการสนธิทอล์ค จะมีการเปิดคลิปที่เกี่ยวข้องกับคดี ในเวลาที่เหมาะสม

ซึ่งในขณะนี้ มั่นใจแล้วว่า กรณีเงิน 39 ล้านบาท จะมีความคืบหน้าในคดีอย่างแน่นอน  และจะมีความชัดเจนว่า มีการแบ่งเงินคนละเท่าไหร่ ซึ่งทั้งหมดในขณะนี้ 'เจ๊อ้อย' ได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทราบแล้วเช่นเดียวกัน จึงเชื่อว่า คดีนี้จะคลี่คลายในเร็ววันอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่สังคมอาจจะยังไม่เข้าใจ กรณีที่ 'ทนายตั้ม' มีความพยายามจะนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมของ 'เจ๊อ้อย' ซึ่งพบว่า แท้ที่จริงแล้ว มีขบวนการก่อนหน้านั้นคือ 'การทำพินัยกรรม' และให้ 'ทนายตั้ม' เป็นผู้จัดการมรดก

โดยเฉพาะครั้งแรก ยังไม่มีผู้จัดการมรดก โดยครั้งที่ 2 สำนักงานทนายความษิทรา มีการแปลงเป็นผู้จัดการมรดก แล้วยังพบว่า มีพฤติการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น ทั้งเรื่องของการติด GPS ในรถของ 'เจ๊อ้อย' จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย และยังชวนไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่อาจจะไม่มีสัญญาณ GPS ซึ่ง 'เจ๊อ้อย' ได้ปฏิเสธทั้งหมด

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า แม้ขณะนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว แต่ 'ทนายตั้ม' ยังไม่คืนพินัยกรรมฉบับก่อนไว้เลย แม้จะทวงถามไปแล้ว ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าได้ทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำลายให้เห็นต่อหน้า 'เจ๊อ้อย' ฉะนั้น ข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาประกอบคดี ให้มีความแน่นหนามากขึ้น ในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วนลักษณะฉ้อโกงเป็นอย่างไร จะเปิดให้ฟังในรายการสนธิทอล์คครั้งหนึ่ง

ส่วนมูลค่าความเสียหายก็เป็นพินัยกรรมทั้งหมด ที่เป็นสกุลเงินในต่างประเทศ และจะได้เห็นวิธีการ และวิธีคิดของ 'ทนายตั้ม' ตั้งแต่แรก โดยเฉพาะประเด็น 39 ล้านบาท

โดยล่าสุด จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นทั้งหมดตั้งแต่ต้น ว่าเป็นกระบวนการหลอกลวงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ รู้แม้กระทั่งว่า เงิน 2 ล้านบาทแรก ที่อ้างว่าโอนไปที่ดาราจีน แท้จริงแล้ว มีการโอนเงินเพียงแค่ 1 ครั้ง จำนวน 100,000 บาทเท่านั้น ส่วนเงินที่เหลือเป็นเรื่องเท็จ ซึ่งเป็นการโกหก และนำเงินไปเฉย ๆ รวมถึงมีการแจ้งความเท็จในเวลาต่อมา ซึ่งที่สำคัญเงิน 39 ล้านบาท มีการแบ่งเงินแล้วชัดเจน และมีก้อนหนึ่งที่เป็นเงิน 20 ล้านบาทที่แบ่งสันปันส่วน ซึ่งมีขบวนการขนเงินกันอย่างชัดเจน

ฉะนั้น 'ทนายตั้ม' จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะอย่างน้อย ตัวเองก็มีการพูดคุยโทรศัพท์ติดต่อผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ จึงเชื่อว่าคดีนี้จะคืบหน้า และจะเป็นพฤติกรรมที่ร้อยเรียงเรื่องราวสอดรับกับคดี 71 ล้านบาท อย่างแน่นอน

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า คดีนี้ เริ่มปี 2565 และยกเลิกใน 2567 ซึ่งกว่า 'เจ๊อ้อย' จะรู้เรื่องทั้งหมดได้ก็มีปัญหา จึงเป็นที่มาของการยกเลิกในภายหลัง และ เรื่อง 'เจ๊อ้อย' พบพฤติกรรมผิดปกติ จึงได้ไปทำพินัยกรรมฉบับที่ 3 กับหน่วยงานภาครัฐ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น พินัยกรรมฉบับเก่าจึงไม่ผูกพัน และทางเรามีเจตนาที่ต้องการจะยกเลิกอย่างชัดเจน และยังพบว่า มีความผิดปกติในหลายกรณี ทั้งในเรื่องของการใช้เงิน การใช้รถหรู และรวมถึงกรณี เงิน 71 ล้านบาท จึงคิดว่า ต้องมีการยุติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

เมื่อถามว่า นอกจาก 'ทนายตั้ม' แล้ว ยังมีใครเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า พยานปากหนึ่งที่สำคัญคือ พี่สาวของภรรยานายษิทรา ซึ่งทราบว่า มาให้การกับตำรวจแล้ว โดยจากการดำเนินการทั้งหมด ตนเชื่อว่าพี่สาวของภรรยานายษิทรา ไม่น่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่น่าจะเป็นที่พักเงิน หรือให้ทำธุรกรรมบางอย่าง ที่เจ้าตัวไม่รู้ก็เป็นไปได้

ดังนั้น พยานปากนี้ถือเป็นพยานที่จะให้ข้อเท็จจริง และให้การเป็นประโยชน์ ซึ่งหากให้การที่ประโยชน์ ก็จะส่งผลดีต่อตัวพยานเอง รวมถึงมีเส้นบาง ๆ ระหว่างพยานกับผู้สมรู้ร่วมคิด หากอยู่ในฐานะพยานต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ และหากดูศักยภาพของบุคคลนี้ ก็เชื่อว่าเจ้าตัวไม่มีศักยภาพที่จะเล่นกลอุบาย หรือบิดคดีช่วยใคร และน่าจะเป็นผู้ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี  

ส่วนพยานอื่น ๆ ก็มีการสอบไปเยอะเช่นกัน และเชื่อว่าน่า จะมีความคืบหน้าในรูปของคดี โดยเราต้องเชื่อมั่นว่า ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ ผู้บังคับการกองปราบรวมถึงคณะทำงานที่ตั้งขึ้นมา มีความเข้มแข็งในเรื่องของการค้นหาข้อมูล และการสืบสวนสอบสวน ดังนั้น ถ้า 'ทนายตั้ม' ไปประกาศว่า เชื่อมั่นภายใต้ตำรวจชุดนี้ทั้งหมด  พวกเราก็เชื่อมั่นเช่นกัน

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ที่มาถึงจุดนี้ได้ ต้องพูดตามตรงว่า 'เจ๊อ้อย' คิดจะดำเนินการเพียงเรื่อง 71 ล้านบาทเท่านั้น แต่ความคืบหน้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคดี 71 ล้านบาท หรือ 39 ล้านบาท จนถึงล่าสุดคือ เรื่องของการแบ่งเงิน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสื่อมวลชน ที่คอยผลักดันให้เกิดความจริง

แต่อีกส่วนหนึ่งคือตำรวจ ไปแสวงหาข้อเท็จจริง จนกระทั่งรู้ความจริงทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ 'เจ๊อ้อย' จึงไปสามารถแจ้งความเพิ่มเติม และเพิ่มข้อหากรรมเข้าไปได้  รวมถึงตำรวจก็ต้องรวบรวมหลักฐานมา จนนำไปสู่คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระได้ ฉะนั้น หากเราเชื่อมั่นในตำรวจชุดนี้ เราก็ต้องเชื่อว่าตำรวจชุดนี้จะทำงานอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด

นายปานเทพ ย้ำว่า 'เจ๊อ้อย' เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงพยานหลักฐาน แต่เริ่มรู้สึกว่า ตนเองควรได้รับความคุ้มครอง และความปลอดภัย ซึ่งจะเดินทางไปไหนก็มีความรอบคอบ และรัดกุม มากขึ้น

ส่วนกรณี นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ 'ทนายตั้ม' ที่บอกว่ามั่นใจในตัวลูกความของตนเองนั้น ตนมองว่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีทนายคนไหนไม่มั่นใจลูกความของตนเอง และเป็นธรรมชาติของการต่อสู้คดีความในกระบวนการยุติธรรม แต่ตนเห็นหลักฐานรวมกับที่นายสายหยุดได้พูดในการออกอากาศอยู่หลายครั้ง ตนจึงมั่นใจว่าคดีนี้ ฝ่ายโจทก์น่าจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบมากกว่า

หลังให้ปากคำนาน 5 ชั่วโมง นายปานเทพ ยังอธิบายหัวใจสำคัญของการเอาผิด 'ทนายตั้ม' ด้วยว่า ความสำคัญของคดีนี้ มีหลายกรรม ที่จะยึดโยงกับเงินก้อน 71 ล้าน 13 ล้าน และ 9 ล้าน

แต่ตัวชี้ขาดคือ คดี 39 ล้าน ที่จะทำให้เห็นว่า มีการทำเป็นกระบวนการ และการจะเอาเงินก้อนนี้ มีการเตรียมแผนการสู้คดีไว้ด้วย ทั้งการร่างสัญญา การส่งไฟล์ต่าง ๆ และเป็นการสู้คดีที่ 'ทนายตั้ม' จะไม่อยู่ในประเทศไทยแล้ว และยืนยันได้ว่า คดี 39 ล้าน มีพยานหลักฐานครบถ้วน “การออกแบบวางแผนไว้ล่วงหน้าแบบนี้ ไม่ใช่การให้โดยเสน่หาแน่นอน เพราะทำเป็นขบวนการ และตำรวจมีพยานหลักฐานมัดแน่นแล้วว่า แบ่งเงินกันยังไง แบ่งให้ใคร แล้วแบ่งไปไหนบ้าง”

นายปานเทพ ยังบอกด้วยว่า ใครจะรับทำคดีนี้ต้องคิดหนัก แม้กระทั่ง ทนายสายหยุด  และเชื่อว่า เร็ววันนี้ ตำรวจจะไปแจ้งข้อกล่าวหาต่อ 'ทนายตั้ม' ดังนี้

  • ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง
  • ร่วมกันนำเอาข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์
  • ร่วมกันฟอกเงิน 

ถึงเวลานั้นจะเห็นเองว่า พยานหลักฐานเองว่ามัดแน่นแค่ไหน เชื่อว่าดิ้นหลุดยาก ส่วนจะมีใครที่รู้เห็นการกระทำความผิดอีกหรือไม่ อยู่ที่ตำรวจดำเนินการ ซึ่งถ้าตำรวจสืบข้อเท็จจริงมาได้ก่อนที่จะให้การ จะเรียกว่า 'จำนนต่อหลักฐาน'

นายปานเทพ ใช้คำว่า “ชัดยิ่งกว่าชัด ที่จะทำให้ขบวนการอื่นจะดิ้นไปให้โดยเสน่หาไม่ได้เลย เพราะมีการออกแบบในทุกขั้นตอน คดี 39 ล้าน จะเป็นคดีที่ชี้ขาดกระบวนวิธีคิดของทนายตั้ม และพวก เช่น การเสแสร้งไปบอกในลักษณะห้ามว่าอย่าโอน แต่มีการโทรศัพท์ไปในขั้นตอนการเบิกเงิน และมีการวางพล็อตเรื่องว่า ตัวเองเดินทางไปต่างประเทศในวันถอนเงิน เป็นหลักฐาน แต่กลับพบว่า มีใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารแทน”



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/C8GiB94Usi8

คุณอาจสนใจ

Related News