หัวอกแม่! ลงทุนเป็นหมื่น สร้าง ‘กรงขัง’ ในบ้าน เตรียมรับลูกคลั่งยา จนท.ชี้ทำไม่ได้ ผิดกม.

หัวอกแม่วอนสังคมให้โอกาส เตรียมขังลูกรักษาคลั่งยา ด้าน จนท.ชี้มีความผิดหากขังลูกคลั่งยาที่เตรียมจะกลับบ้าน หลายหน่วยงานวางแผนช่วย เตรียมส่งตัวไปรักษาต่อ 

กรณีนางสารภี อายุ 64 ปี อดีตข้าราชการครูเกษียณ ชาว อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์  แบ่งพื้นที่ภายในบ้าน แล้วทำกรงลักษณะเหมือนกรงขังของสถานีตำรวจ ซึ่งในห้องขังจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งกล้องวงจรปิด ห้องน้ำสะอาด  สร้างไว้เพื่อรอรับการกลับมาของนายปุ๊ป ลูกชายวัย 42 ปี ที่เจ้าหน้าที่นำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลนางรอง ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากคลั่งยาบ้าอย่างหนัก จนแม่ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาควบคุมตัวไป

นางสารภี กล่าวว่า ลูกชายเสพยาบ้าตั้งแต่อายุ 16 ปี  เคยพาไปบำบัดมาตลอด แต่ลูกชายเลิกยาไม่ได้ หนำซ้ำช่วงหลังยังติดพนันออนไลน์  ขอเงินเอาไปเติมเงินในโทรศัพท์และไปซื้อยาบ้ามาเสพวันละ 300-500 บาท จนทำให้เงินที่จะใช้ภายในครอบครัวขาดสภาพคล่อง เพราะเงินเดือนบำนาญ เหลือเพียง 4,000-5,000 บาทเท่านั้น เนื่องจากสามีเสียชีวิตไปแล้ว

นางสารภี กล่าวด้วยว่า ตนลงทุนสร้างกรงขัง หมดเงินไปกว่า 12,000 บาท ตั้งใจว่าเมื่อลูกกลับมาจากโรงพยาบาลในวันที่ 6 พ.ย.นี้  จะให้ลูกเข้าไปอยู่ในกรง โดยตนจะคอยส่งข้าวส่งน้ำ ส่งยาให้ลูก เพื่อชาวบ้านใกล้เคียงจะได้ไม่กังวลว่าลูกชายตนจะคลั่งยาอีก เพราะหลังจากคนในชุมชนทราบว่า ลูกชายตนจะกลับมาบ้าน หลายคนก็ไม่สบายใจ และจะมีการทำประชาคมหมู่บ้าน ว่าจะให้ลูกตนกลับมาหรือไม่ เพราะเกรงเรื่องความปลอดภัย แต่ตนคิดว่า กรงขังนี้น่าจะเอาอยู่

นางสารภี ยอมรับว่า รักลูก เป็นห่วงลูกมาก ไม่อยากให้ลูกไปอยู่ที่อื่น เพราะตนจะไม่ได้ดูแลลูกด้วยตัวเอง เกรงว่าลูกจะลำบาก จึงอยากให้ชุมชนให้โอกาสตนได้ดูแลลูกไปก่อน หากเกินกำลังในครั้งนี้ตนก็จะยอมให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

ด้านนางสำเนียง อายุ 49 ปี ชาวบ้านในหมู่บ้าน บอกว่า รู้เรื่องนายปุ๊ปเสพยาบ้าและคลั่งหลายครั้ง ยอมรับว่าชาวบ้านหลายคนก็กังวลเหมือนกัน กลัวว่าถ้าคลั่งยาแล้วจะสร้างความเดือดร้อน หรือทำอันตรายคนในชุมชน แต่หากแม่มีมาตรการเอาลูกเข้ากรงขัง ตนก็คิดว่าควรจะให้โอกาส  

ต่อมา วานนี้ (5 พ.ย.67) ปลัดอำเภอนางรอง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อัยการนางรอง ,สำนักงานคุมประพฤติ, ตำรวจ, สาธารณสุขอำเภอ,โรงพยาบาล และฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่ไปยังบ้าน นางสารภี เพื่อสอบถามรายละเอียดข้อเท็จจริง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแนวทางการดูแลรักษาลูกชายที่ติดยาเสพติด และอาจมีภาวะจิตเวชด้วยว่าจะดำเนินการดูแลรักษาอย่างไร    

โดยนายธนธรณ์พล ไขว้พันธ์ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง บอกว่า การสร้างกรงขังไว้ในบ้านเพื่อกักขังลูก ไม่สามารถทำได้ เพราะเข้าข่ายกักขังหน่วงเหนี่ยว ผิดกฎหมาย  และการกักขังผู้ป่วยจิตเวชโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อผู้ป่วยจิตเวชด้วย  แต่ก็จะหาแนวทางดูแลช่วยเหลือเพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย

ด้านนางสาวกุลยา ณิชพงศ วงหนูพะเนาว์ ตัวแทนสาธารณสุข กล่าวว่า จุดเปลี่ยนที่ทำให้แม่ตัดสินใจสร้างกรงขังลูก เนื่องจากลูกชายเคยพูดในทำนองว่า จะกลับมาจัดการคนที่บ้าน เพื่อจะเอามรดก  จะมาถ่ายภาพไว้ติดหน้าศพ ทำให้แม่กลัวและสร้างกรงขังไว้รอลูก

นายวรพล หิรัญรัตนา อัยการ จ.นางรอง แนะนำว่า หากลูกชายต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน แนะนำให้แม่มีโทรศัพท์ติดต่อไว้ตลอดเวลา เพื่อแจ้งเหตุได้ทันท่วงที รวมถึงกุญแจกรง  แม่ต้องเก็บไว้ให้มิดชิด เพราะเกรงว่าลูกชายจะเอาแม่ขังแทน  แต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน ให้ขึ้นบนชั้นสองแล้วโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงสามารถเอาไปขังในห้องที่ทำไว้ก็พอได้

ด้านนายแพทย์กฤติกา อู่วิเชียร จากโรงพยาบาลนางรอง เปิดเผยว่า เบื้องต้น ผู้ป่วยรายนี้ เป็นจิตเวช มีอาการจิตหลอนเพราะเสพยาเสพติด แนวทางคือจะต้องส่งตัวไปบำบัด เพื่อให้กลับมาเป็นปกติที่สุด โดยจะมีโรงพยาบาลที่สามารถรองรับผู้ป่วยลักษณะนี้ได้ คือที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์, ศูนย์บำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวชโคราชและศูนย์ขอนแก่น ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่บำบัดออกมา ก็จะมีอาการที่อ่อนตัวลงหรือไม่หนักเท่ากับตอนที่ยังไม่ได้บำบัด แต่สำหรับรายนี้ ถือว่าเป็นผู้ป่วยที่หนักมาก ก็จะต้องหารือกันว่าจะนำส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่นหรือไม่  

ขณะที่นางสารภี กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมของเจ้าหน้าที่ว่า รู้สึกอุ่นใจและดีใจที่มีเจ้าหน้าที่มาชี้แนะแนวทางให้  เพราะที่ผ่านมาคิดคนเดียว หวาดผวาคนเดียว จึงตัดสินใจจ้างช่างมาทำกรงขัง เพราะคิดในฐานะแม่ที่อยากดูแลลูกชายด้วยตัวเอง อยากให้เลิกยาเสพติดและการพนัน ไม่ได้มีเจตนาจะกังขังหน่วงเหนี่ยวหรือทรมาณลูก เนื่องจากเคยส่งไปบำบัดหลายครั้งแล้ว กลับมาก็ยังเหมือนเดิม ตนจึงต้องทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนในหมู่บ้าน  เพราะที่ผ่านมาลูกเคยมีพฤติกรรมทั้งอาละวาด ยิงปืนขู่ ขับรถชนบ้านพัง และทำร้ายภรรยาถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว  แต่หากหน่วยงานภาครัฐบอกว่าไม่สามารถทำได้ ก็อยากให้หาแนวทางบำบัดรักษาลูกให้หายเป็นปกติ ไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก  ตนเองก็พร้อมจะปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/IDuHapHzNas