สังคม

'บิ๊กป้อม' ปัดตอบคลิปเสียงคล้ายคน พปชร. - 'สิระ' แฉนักการเมือง ส. เคยหาผลประโยชน์ในกระทรวง จนโดนให้ออก

โดย nattachat_c

14 ชั่วโมงที่แล้ว

868 views

จากกรณี บริษัท The iCon Group ได้ทำธุรกิจที่อาจเข้าข่าย 'แชร์ลูกโซ่' โดยมีดารานักแสดงดังหลายคนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยบางคนมีคำว่า 'บอส' นำหน้าด้วย เช่น บอสกันต์ บอสมิน บอสแซม โดยมี 'บอสพอล' เป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่จับตามองของประชาชนจำนวนมาก เนื่องจากตอนนี้ มีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนแล้วมากกว่า 740 ราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 266 ล้านบาท


โดย เพจ อีซ้อขยี้ข่าว : อีซ้อ ได้เผยคลิปเสียง ที่เป็นเสียงคล้าย 'บอสพอล' กับนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งต่อมา 'บอสพอล' ได้ยอมรับว่าเป็นเสียงตนเอง ในรายการโหนกระแส แต่ขออนุญาตไม่บอกชื่อของนักการเมือง และยอมรับว่าจ่าย 1 แสนบาท จริง ๆ แต่ไม่ได้จ่ายให้ทุกเดือน 


ต่อมา วานนี้ (15 ต.ค. 67) 'บอสพอล' วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เจ้าของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

ขอวิงวอนสื่อลบคลิปที่ผิดกฏหมายทั้งหมด เพราะทำให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น...


ผมรู้สึกผิดมาก ที่มีคนพาดพิงไปที่นักการเมือง ส. ผมเองรู้สึกแย่มาก ที่ต้องทำให้ท่านต้องมาเดือดร้อน


ผมขอบอกเลย ผมไม่เคยให้เงินนักการเมือง ส. ตามที่ข่าวออกเลยแม้แต่บาทเดียว


และคลิปนั้นเก่ามากแล้ว หลายปีแล้ว ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี ที่บอกจะให้เป็นรายเดือน ก็เป็นเพียงแนวคิดจะให้มาเป็นที่ปรึกษาบริษัทเพียงเท่านั้น โดยสุดท้าย ก็ไม่มีการว่าจ้าง หรือโอนเงินให้เลย ดังนั้น ข่าวที่บอกว่าผมโอนเงินให้รายเดือนนั้น ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด


ผมเองมานอนคิด แล้วรู้สึกว่าทำให้ ท่าน ส. นั้น เสียหายอย่างมาก จึงควรต้องออกมาชี้แจง ผมขอกราบเท้าขอโทษ ท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ที่ทำให้ท่านเสียหายในการให้สัมภาษณ์ในรายการโหนกระแส 


ผมต้องกราบขอโทษ ท่านอีกครั้ง ผมขอยืนยันไม่เคยโอนเงิน ไม่เคยให้เงิน หรือ สินทรัพย์ใด ๆ แก่ท่านเลย


เพียงแต่ในช่วงเวลานั้น ๆ จะติดต่อให้ท่านมาเป็นที่ปรึกษาบริษัทก็เท่านั้น แต่ด้วยช่วงเวลาไม่ตรงกัน จึงไม่ได้เชิญท่านมาแต่อย่างใด


ท้ายสุดนี้ ผมขอวิงวอนสื่อมวลชนทุกสื่อ ช่วยลบคลิปนั้นออกด้วย เพราะมันทำให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น และไม่มีเนื้อหาความเป็นจริง ตามที่สื่อนำเสนอเลยแม้แต่นิดเดียว


ดังนั้น ผมจึงขอความกรุณาให้ทุกคน ทุกแพลตฟอร์ม ลบคลิปทั้งหมดที่ มิชอบด้วยกฏหมาย ภายในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ก่อนเวลา 23.59 น.


มิเช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฏหมาย เรื่องดักฟัง และ นำข้อมูลไปเผยแพร่ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และ ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท


ทั้งนี้ โพสต์นี้ อยู่ในเฟซบุ๊ก 'บอสพอล' ประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น บอสพอล ก็ลบโพสต์นี้ออกไป โดยยังไม่ทราบสาหตุ


ต่อมา วานนี้ (15 ต.ค. 67) เวลา 14.05 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เดินทางออกจากที่ทำการพรรค ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงกรณีคลิปเสียงคล้ายเสียงสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เรียกรับเงิน 'บอสพอล' ดิไอคอน เพื่อช่วยไม่ให้ ถูกตรวจสอบในชั้นคณะกรรมการฯ สภาผู้แทนราษฎร แต่ พลเอกประวิตร ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวสั้น ๆ ว่า เดี๋ยวจะมีผู้ชี้แจง


ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่าได้มีการต่อสายพูดคุยกับนายสามารถหรือไม่ พลเอกประวิตร ย้ำคำตอบเดิมว่า เดี๋ยวจะมีการชี้แจง


ผู้สื่อข่าวพยายามถามต่อว่า กังวลหรือไม่ เพราะถือว่าเสียงในคลิปเป็นคนสนิท พลเอกประวิตร ไม่ตอบคำถาม ขึ้นรถเดินทางออกจากที่ทำการพรรคทันที

ต่อมา ด้าน พลตำรวจโทปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมพรรค ซึ่งมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคเป็นประธานการประชุม ว่า ที่ประชุมได้พูดคุยถึงกรณีคลิปเสียงคล้ายสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เรียกรับเงิน 'บอสพอล' เจ้าของบริษัท 'ดิไอคอน' เพื่อช่วยไม่ให้ถูกตรวจสอบในชั้นคณะกรรมาธิการฯ สภาผู้แทนราษฎร


โดย พลเอกประวิตร ได้ยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐมาตรฐานจริยธรรมสูง ถ้าสมาชิกพรรค ไม่ว่าจะเป็นมีตำแหน่งในพรรค หรือไม่มี ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีถึงที่สุด แต่ถ้าผิดวินัย หรือระเบียบข้อบังคับพรรค ก็จะดำเนินการตามมาตรฐานของพรรค ที่สำคัญคลิปดังกล่าวในวันนี้ ยังไม่ได้ทำการพิสูจน์ว่าเสียงของใคร มีแต่การบอกว่าเสียงใครคนนั้นคนนี้ แต่ไม่มีการพิสูจน์ชัดเจน


แม้กระทั่ง 'บอสพอล' ก็ยังไม่ยืนยันว่า เสียงที่คุยด้วยเป็นใคร ยืนยันแค่ว่าเป็นเสียงของตัวเอง ที่สำคัญคือ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หรือในปี 2565 ซึ่งถ้าเป็นคนที่ถามหากัน ในปีดังกล่าว ยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และไม่มีตำแหน่งใดในพรรค แม้ในปัจจุบันจะมีตำแหน่งในพรรค แต่ถ้ามีการพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่ากระทำผิดจริง หัวหน้าพรรคยืนยันจะดำเนินการตามระเบียบ และกฎหมาย อย่างแน่นอน


พลตำรวจโทปิยะ กล่าวว่า ขณะนี้ มีการยื่นให้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบแล้ว ขอให้รอผลการตรวจสอบของสภาว่าคิดดังกล่าวเป็นคลิปจริงหรือมีการตัดต่อหรือไม่ อีกด้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวน ดิไอคอน น่าจะมีการสอบสวนบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการเรียกรับผลประโยชน์


พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่า ถ้ามีหลักฐานพาดพิงบุคคลหนึ่งบุคคลใดชัดเจน จะให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ถ้าเป็นคลิปที่ไม่มีที่มาที่ไป ส่งต่อกันมาลอย ๆ หรือใช้ AI คงจะพิจารณาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาม.296/1 จะไม่นำพยานหลักฐานที่มาจากการกระทำผิดกฎหมายมาพิจารณา


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคจะไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ แต่จะรอผลสอบของสภาใช่หรือไม่ พลตำรวจโทปิยะ ยืนยันว่า ถ้าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นคนในพรรคจริง ไม่ว่าเหตุจะเกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน แต่เป็นคนในพรรคก็จะดำเนินการตามระเบียบตามกฎหมายแน่นอน ส่วนจะเป็นการขับออกจากพรรคหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความผิด โดยจะไม่รอผลสอบจากสภาเพียงอย่างเดียว แต่ถ้ามีพยานหลักฐาน หรือพยานบุคคล ถ้า 'บอสพอล' บอกว่าเป็นเสียงของสมาชิกพรรคพลังประชารัฐจริง เราก็จะดำเนินการทันที


ทั้งนี้ พลตำรวจโทปิยะ ยังเปิดเผยว่าได้พูดคุยกับคนที่ถูกอ้างว่าเป็นเสียงในคลิปดังกล่าว ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า ไม่ใช่เสียงของตัวเองอย่างแน่นอน และตนเองไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้น ซึ่งพลเอกประวิตรไม่กังวลว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดความเสียหาย เพราะเหตุเกิดตั้งแต่ปี 2565 ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค


ขณะที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีคลิปเสียงคล้ายคนในพรรคพลังประชารัฐ เรียกรับเงิน 'บอสพอล' ดิไอคอน เพื่อช่วยไม่ให้ ถูกตรวจสอบในชั้นคณะกรรมการฯ สภาผู้แทนราษฎร ว่า พรรคมีความเป็นห่วงในเรื่องนี้ และขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียหาย อยากให้ทุกคนได้เงินคืน ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจะต้องถูกลงโทษ ซึ่งประเด็นสำคัญคือการพาดพิงจากคลิปเสียง ต้องไปตรวจสอบ เพราะตอนนี้ ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ จากคนที่ปล่อยคลิปว่าเป็นเสียงของใคร ทั้งนี้ ต้องดูด้วยว่าเหตุการณ์ตามคลิปเสียงเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด เป็นช่วงที่บุคคลดังกล่าว มีตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ หรือเป็นบุคคลธรรมดาที่หลอกลวงต้มตุ๋นกันเอง ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่ จะทำให้ความผิดต่างกัน


และเมื่อถามว่า ได้มีการต่อสายกับคนของพรรคพื่อสอบถามในประเด็นนี้หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดคุยกัน และไม่รู้ว่า ตอนนี้ นาย...อยู่ที่ไหน ซึ่งต้องยอมรับว่านาย....กลับมาอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐได้ไม่นาน เพราะเคยถูกขับออกไปอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะได้กลับมาช่วยงานในพรรคอีก


ส่วนตัวเชื่อว่า ช่วงหลังนี้ คงไม่ได้ทำอะไรไม่ดี แต่ในอดีต ทำอะไรมาบ้างเราไม่รู้ ต้องไปตรวจสอบว่าทำผิดจริงไหม ไปเกี่ยวข้องอย่างไร ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา รวมถึงขอให้ความเป็นธรรมกับพรรคพลังประชารัฐด้วย เพราะไม่เกี่ยวกับพรรคเป็นเรื่องส่วนบุคคล อาจจะทำมาก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในพรรค เพราะในปี 2565 นาย...น่าจะยังไม่กลับเข้ามาในพรรค


เมื่อถามว่าการที่คลิปเสียงถูกปล่อยออกมา เป็นเหมือนการเอาคืนเรื่องที่ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า การตรวจสอบนักการเมืองเป็นหน้าที่ของทุกฝ่าย ใครทำไม่ดีต้องถูกลงโทษ การที่มีการตรวจสอบพรรคเพื่อไทย หรือนายทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณา ไม่ใช่การแก้แค้นกัน การตรวจสอบใครก็ตาม เป็นสิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่าย แต่ยืนยันว่าในเรื่องคลิปเสียง ทางพรรคจะตรวจสอบเรื่องนี้ตามขั้นตอน และข้อบังคับพรรค ซึ่งตามหลักการคนที่ไม่ดี-ไม่มีจริยธรรม กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ทำงานการเมืองไม่ได้อยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญ ขอให้ความมั่นใจกับทุกคนว่า พรรคจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาแต่ขอให้ดูข้อเท็จจริงให้ยุติก่อน


วานนี้ รายการคมชัดลึก ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 ดำเนินรายการโดย วราวิทย์ ฉิมมณี ได้สัมภาษณ์แบบเจาะลึก กับ 'สิระ เจนจาคะ' อดีต สส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ โดยได้แกะรอยจากการทำงานครั้งที่เคยเป็น 'ประธานกรรมาธิการการกฎหมาย' สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ลงมือตรวจสอบ 'นักการเมืองชาย อักษรย่อ ส.' ที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของคลิปเสียงสนทนา


คน ๆ นี้เคยได้ตำแหน่งในกระทรวง ๆ หนึ่ง และไปหาผลประโยชน์ภายในกระทรวงจนโดนให้ออกจากตำแหน่ง ซึ่งผมเป็นคนจัดการเอง ส่วนการหาผลประโยชน์นั้น ผู้ชายหรือไอ้เตี้ยคนนี้จะไปตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนแชร์ลูกโซ่ ขายตรง กับผู้โดนโกง เขาจะรู้ว่า เป้าหมายที่จะไปเอาประโยชน์อยู่ตรงไหน จากนั้น จึงไปตบทรัพย์อีก ตอนที่ผมเป็นประธานกรรมาธิการกฎหมายของสภาฯ ช่วงแรกเห็นว่า ตั้งศูนย์เพื่อช่วยชาวบ้าน แต่กลับพบว่า ผู้เสียหายพึ่งพาไม่ได้ แถมยังถูกเรียกเงิน จึงร้องเรียนผมฐานะประธานกรรมาธิการ ว่าโดนรีดไถเงินอีก


อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เล่าถึงเบื้องหลังชายในคลิปเสียงเรียกรับทรัพย์ ถึงกรณีเข้าสู่วงการการเมือง และมีตำแหน่งในกระทรวงหนึ่ง ว่า มี 'พล.อ.' ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เกี่ยวข้อง


ที่พูดได้เพราะเห็นมาจากที่ พล.อ.คนนี้ เรียก สส. 10 กว่าคน ไปล็อบบี้ ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์  เขาบอกว่าให้ ชายเตี้ย นั้นมีตำแหน่งอยู่ในกระทรวงนี้ ให้มีผลประโยชน์ให้รายเดือนกับคนที่จะสนับสนุนให้คน ๆ นั้นมีตำแหน่ง


'สิระ' ยังเล่าต่อด้วยว่าหลังจากที่โทรศัพท์เตือนถึง 3 ครั้ง ยังเอาไม่อยู่ ได้แจ้งกับผู้ใหญ่ภายในพรรคว่ามีเหตุการณ์ไม่สมควรเกิดขึ้น จนถึงขั้นต้องมีการขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ โดยเป็นจังหวะพอดีกับที่พรรคมีขับใครบางคน บางกลุ่มออกจากสมาชิกพรรค พร้อมยืนยันว่าคนที่เป็นเจ้ากระทรวงนี้ไม่ยุ่งเกี่ยว และยังให้ความร่วมมือสั่งให้พ้นจากตำแหน่งด้วย


วันก่อนตนได้คุยกับทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ฐานะทนายที่เจ้าของบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นคฤหาสน์ขอให้ฟ้อง "ชายเตี้ย" เนื่องจากค้างค่าเช่า ซึ่งเขาไปขอเช่าเพื่อสร้างภาพ ว่าเป็นคนรวย รถก็เช่า แต่ไม่จ่ายค่าเช่า  ทั้งนี้ชอบยืนข้างลุง อย่างไรก็ดีตนเชื่อว่าน่าจะเคยไปถ่ายภาพกับลุงด้วยเพราะชายคนนี้บอกว่าใกล้ชิดลุง จึงเป็นการสร้างภาพเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ส่วนกรณีที่ระบุว่าสามารถเคลียร์กรรมาธิการได้หรือไม่นั้น อาจเป็นเรื่องที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/myVABhOjT1Q

คุณอาจสนใจ

Related News