สังคม

รถใช้งานมาแล้ว 54 ปี เปิดผังบัสทัศนศึกษา กู้ภัยเล่าครูเสียสละ ชี้ถ้าประตูฉุกเฉินเปิดได้ น่าจะรอดหมด

โดย nattachat_c

2 ต.ค. 2567

122 views

เปิดผังรถบัสมรณะ! พบประตูฉุกเฉินมีเพียง 1 ประตู  - ขณะที่ ผบช.พฐ. ยืนยันพบศพในรถบัส 23 ศพ ส่วนใหญ่อยู่หลังรถ ลักษณะไหม้เสียหาย เบื้องต้นเป็นเพศชาย 11 ร่าง เพศหญิง 7 ร่าง และยังพิสูจน์ไม่ได้อีก 5 ร่าง – น้ายอด กู้ภัย เล่า ครูเสียสละมาก ดันเด็กไปด้านหลัง ลั่นหากประตูฉุกเฉินเปิดได้ควรรอดกันหมด


กรณีเกิดเหตุไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนโรงเรียน วัดเขาพระยาสังฆาราม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี​ กำลังเดินไปทางไปทัศนศึกษา ซึ่งเกิดเหตุ บริเวณเลนขวาสุดของช่องเลนด่วน ถนนวิภาวดีรังสิต ช่วงหัวโค้งหน้าอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี หรือห่างจากด้านหน้าเซียรังสิต ฝั่งขาเข้า กทม. ประมาณไม่ถึงกิโลเมตร


ภายหลังจากที่ควบคุมเพลิงไว้ได้ พล.ต.ท กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมส่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานขึ้นไปตรวจสอบบนซากรถ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมร่วมวางแผนกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และกู้ภัยในการเข้าตรวจสอบซากรถ เพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตลงมา โดยให้ทหารอากาศนำสแลนสีเขียวมาปิดกั้น ป้องกันไม่ให้ภาพที่ไม่เหมาะสมปรากฏต่อสาธารณชน


เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานสามารถนำร่างผู้เสียชีวิตลงมาจากรถบัสได้ ก่อนทยอยนำร่างขึ้นรถกู้ภัยส่งมาที่ นิติเวช รพ.ตำรวจ


เวลาประมาณ 17.30 น. สามารถกู้ร่างได้ทั้ง 23 ร่าง นำส่ง รพ.ตำรวจเพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์ต่อไป


ต่อมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เปิดเผยภายหลังจากเจ้าหน้าที่สามารถลำเลียงร่างของผู้เสียชีวิตส่งไปที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ว่า การตรวจสอบที่เกิดเหตุร่วมกับเจ้าหน้าที่กู้ภัย ล่าสุด สามารถลำเลียงศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมด 23 ศพ เป็นเพศชาย 11 ร่าง เพศหญิง 7 ร่าง และยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ 5 ร่าง  


โดยทั้งหมดได้ลำเลียงส่งไปที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ เพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลตามขั้นตอน ซึ่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เน้นย้ำว่า ให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่สถาบันนิติเวช เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับญาติญาติผู้เสียชีวิต เมื่อพิสูจน์ศพได้แล้วว่าเป็นใคร ก่อนเร่งคืนให้กับญาติผู้เสียชีวิตนำไปทำพิธีทางศาสนาโดยเร็วที่สุด


โดยจากการตรวจสอบศพที่พบรถบัสที่เกิดเหตุ แพทย์นิติเวช ระบุเบื้องต้นว่า เป็นศพขนาดใหญ่ พบศพที่โซนกลางไป แต่ส่วนใหญ่อยู่ท้ายรถบัส สภาพศพถูกไฟไหม้เสียหาย จึงยังไม่สามารถระบุตัวตนได้อย่างชัดเจน อาจจะเป็นเด็กที่ตัวใหญ่ก็ได้ จึงต้องรอพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้ง


ส่วนจากการตรวจสอบรถบัสที่เกิดเหตุ กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุยังอยู่ระหว่างตรวจสอบอย่างละเอียด ในเบื้องต้นยังเน้นย้ำการถ่ายภาพศพ และตรวจสอบเกี่ยวกับศพ รวมถึงรีบเคลื่อนย้ายศพเพื่อนำไปส่งที่สถาบันนิติเวชก่อน


โดยยืนยันว่าจะตรวจสอบให้ละเอียดที่สุด เพื่อหาร่องรอยว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้จากบริเวณใดและเกิดจากสาเหตุใด ตลอดจนทรัพย์สินต่างๆที่อยู่ในตัวรถจะบ่งบอกได้ว่า รถมีมาตรการป้องกันเหตุฉุกเฉินหรือไม่ ซึ่งจะตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ขนส่ง


เมื่อถามว่าภายในรถบัสมีกล้องวงจรปิดหรือไม่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุว่า ยังไม่พบ ขอเวลาเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานซักระยะก่อน รวมไปถึงตรวจสอบถังก๊าซของรถว่าต้นเพลิงมาจากไหนกันแน่


ด้าน น้ายอด จากร่วมกตัญญู เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบลักษณะของรถบัสดังกล่าวพบว่ามี 2 ชั้น มี 4 ประตู ซึ่ง 3 ประตูเปิดออกได้หมด ยกเว้นประตูฉุกเฉินด้านหลังฝั่งขวา


ทั้งนี้ แม้ว่า 3 ประตู จะเปิดได้ แต่ไฟโหมแรงมาก ทำให้หนีออกมาไม่ได้ ฝ่าออกมาไม่ได้ ซึ่งทั้ง 23 คน เบียดไปอัดกันอยู่ด้านหลัง ซึ่งน้ายอด และกู้ภัยอีกท่าน บอกว่า ครูเสียสละมาก ๆ เพราะครูดันเด็กไปไว้ท้ายรถ ซึ่งยังมองด้วยว่า หากประตูฉุกเฉินบานนั้นสามารถเปิดได้เด็กน่าจะรอดทั้งหมด


ทีมข่าวได้คุยกับนางสาวพรประภา อั๋นดอนกลอย อายุ 44 ปี ครูชั้นประจำชั้น ม.3 โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม เล่าว่า โรงเรียนจัดรถบัสทั้งหมด 3 คัน ไปทัศนศึกษา ออกเดินทางจากโรงเรียนใน จ.อุทัยธานี ในเวลาประมาณ 05.30 น. และมีแวะทำกิจกรรมที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นเดินทางต่อมา  เพื่อพานักเรียนไปทัศนศึกษาที่ กฟผ.นนทบุรี


จนกระทั่ง มาถึงจุดเกิดเหตุรถบัสคันที่ 2 ซึ่งในรถเป็นกลุ่มนักเรียนชั้นอนุบาล - ป.4 เกิดเสียงดังคล้ายยางระเบิดและรถไถลไปชนแบริเออร์ขอบทาง  ต่อมาก็มีไฟลุกไหม้  โดยครูที่อยู่บนรถบัสคันที่ 2 รีบนำเด็กเล็กลงจากประตูด้านหน้า  ส่วนตนเองนั่งอยู่ในรถรถบัสคันที่ 3 ขับตามหลังคันที่ 2 เมื่อเห็นเหตุการณ์จึงได้ให้คนขับจอดและรีบวิ่งลงไปช่วยเหลือเด็กลงจากรถ


ขณะนั้น ไฟลุกท่วมรถแล้ว มีเด็กกระโดดลงมาจากรถ 3 คน (ป.1/ป.3/ม.3) ตนจึงรีบไปอุ้มเด็ก 2 คน ออกมาให้ห่างจากรถ  ตนพยายามจะกลับไปช่วยเด็กบนรถอีก แต่ไฟโหมลุกไหม้รุนแรง ตำรวจบอกไม่ให้เข้าไปใกล้เพราะรถจะระเบิด ไรเดอร์ผ่านมาพอดีช่วยนำเด็กไปส่งโรงพยาบาลแพทย์รังสิต ก่อนที่ตนเองจะตามมาดูอาการเด็กที่โรงพยาบาล


ส่วนมือของตนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลพุพอง เพราะเด็กนักเรียนที่ตนช่วยไว้  มีแผลไหม้ค่อนข้างรุนแรง และไปจับโดนตัวรถที่มีความร้อน จนทำให้มือของตนได้รับบาดเจ็บไปด้วย เด็กที่ตนเองช่วยมาได้ 2 คน ตามลำตัวเป็นแผลพุพองหมดเลย


เด็กบนรถส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็ก ไม่รู้จะช่วยเหลือตัวเองยังไง ประตูรถด้านหลังไม่ได้เปิด เปิดเฉพาะประตูหน้า ไม่รู้ว่าคนขับตกใจหรือไม่จึงไม่ได้เปิดประตูด้านหลัง ทำให้เด็กไม่สามารถที่จะหนีออกจากประตูด้านหลังได้ เพราะบริเวณหน้าไฟกำลังไหม้ลุกลาม มองหากเปิดประตูหลังเด็กน่าจะรอดเยอะกว่านี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้นำถังดับเพลิงมาช่วยดับไฟแต่ก็ไม่ทัน เพราะไฟได้ลุกไหม้ท่วมทั้งคันแล้ว

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลบริษัทประกันที่ดูแลรถบัสคันเกิดเหตุพบว่า รถบัสคันนี้จดทะเบียนครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2513 หากนับล่าสุด อายุรวม 54 ปี โดยขณะนั้นระบุเป็นประเภทรถโดยสารไม่ประจำทาง เลขตัวรถ 14300 เลขเครื่องยนต์ 422915-20-590053 มีที่นั่ง 41 ที่นั่ง น้ำหนักรวม 16,600 กิโลกรัม


ทั้งนี้ ยังมีข้อมูลอีกว่า รถดังกล่าว ดัดแปลงมาจาก จากรถยี่ห้อหนึ่ง และเอาเครื่องยนต์รถอีกยี่ห้อมาใส่


ขณะเดียวกัน ตอนที่ยื่นขนส่งไม่ได้ยื่นจดทะเบียนว่าติดตั้งก๊าซเอ็นจีวี แต่ตอนที่สมัครกับบริษัทประกัน ยื่นว่ารถบัสคันที่เกิดเหตุติดก๊าซเอ็นจีวี


ขณะเดียวกัน เวลา 21.00 น. ที่ สภ.คูคต พบว่า นายอรรถพล ตัวแทนบริษัทรถบัสคันที่เกิดเหตุ พาผู้ประกอบการเข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวน


ก่อนให้สัมภาษณ์ ระบุว่า ก่อนอื่นแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น / ตนได้พาผู้ประกอบการมาพบพนักงานสอบสวน เพื่อชี้แจงถึงการใช้รถแล้ว ทางผู้ประกอบการพร้อมเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ยืนยันรถผ่านการตรวจสภาพ ดัดแปลงติดตั้งระบบแก๊ซการผ่านตรวจสอบทางวิศกรรมรถยนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกอย่างถูกต้อง


ส่วนประเด็นในเรื่องของประตูฉุกเฉินรถโดยสารที่พบว่าไม่มีการเปิดในขณะเกิดเหตุ  ตัวแทนของบริษัทยืนยันว่าสามารถเปิดออกได้ แต่ประตูค่อนข้างมีน้ำหนักมากพอสมควร ทำให้ครูกับนักเรียน อาจจะใช้แรงไม่เพียงพอในการเปิดประตูฉุกเฉิน


ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตอนนี้ ได้เร่งหาข้อเท็จจริง และสาเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการต่าง ๆ รวมถึง แนวทางในการจัดทำมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก


โดยหลังจากนี้ตนจะไปทบทวนเรื่องของรถบัสที่ใช้ก๊าซ อาจจะห้ามไม่ให้รถบัสใช้ก๊าซอีกต่อไป แต่อย่างไรก็จาม ก็ต้องปรึกษาหน่วยงานต่างๆ ว่าสามารถทำได้หรือไม่อีกที


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/3Q8nHzUty1g


คุณอาจสนใจ

Related News