สังคม
คนไทยซื้อทองเพิ่มกว่า 20% ยอดสูงสุงในอาเซียน
โดย thanaporn_s
13 ส.ค. 2567
175 views
รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำหรือ Gold Demand Trends จากสภาทองคำโลก (World Gold Council) สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ได้ระบุว่าความต้องการทองคำผู้บริโภค (Consumer Gold Demand) ของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อยู่ที่จำนวน 9 ตัน ซึ่งถือเป็นการเติบโตคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับไตรมาส
ด้านความต้องการทองคำทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่จำนวน 1,258 ตัน และถือเป็นไตรมาสที่ 2 ของปีที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูล[1] โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ (Over-the-counter หรือ OTC[2]) ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถึง 53% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมเป็นจำนวน 329 ตัน
ความต้องการในภาคการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น รวมกับการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลาง และกระแสการไหลออกของการลงทุนที่ช้าลงสำหรับกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำสำหรับนักลงทุน ได้ผลักดันให้ราคาทองคำในไตรมาสที่ 2 พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,338 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,427 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในไตรมาสที่ 2 นี้
ด้านธนาคารกลางและสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้เพิ่มการถือครองทองคำทั่วโลก 183 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ชะลอตัวลงหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่คิดเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้น 6% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากรายงานผลการสำรวจด้านทองคำของธนาคารกลางโดยสภาทองคำโลก ได้ยืนยันว่าผู้จัดการด้านทุนสำรองเชื่อว่าสัดส่วนการถือครองทองคำของธนาคารกลางจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเกิดจากความต้องการที่จะปกป้องรักษาและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ภายในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความซับซ้อน
ความต้องการทองคำสำหรับการลงทุนในระดับโลกนั้นยังคงแข็งแกร่ง โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่จำนวน 254 ตัน อย่างไรก็ตาม หากมองในรายละเอียดจะพบว่าแต่ละตลาดมีทิศทางที่แตกต่างกัน ในขณะที่ประเทศไทยมีความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสำหรับการลงทุนเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นจำนวน 7 ตัน เนื่องจากนักลงทุนได้ใช้ทองคำเพื่อรักษามูลค่าเงินทุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
แต่ระดับการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกนั้นกลับลดลง 5% อยู่ที่จำนวน 261 ตัน สำหรับไตรมาสที่ 2 เนื่องจากความต้องการในเหรียญทองคำได้ลดลงอย่างมาก และแม้ว่าความต้องการทองคำสำหรับการลงทุนของร้านค้าปลีกในทวีปเอเชียจะแข็งแกร่ง แต่ก็ได้ถูกลดทอนโดยระดับความต้องการสุทธิที่ลดลงของภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือที่มีการเทขายทำกำไรเพิ่มขึ้นในบางตลาด
ด้านกองทุน ETF ทองคำทั่วโลกของไตรมาสนี้ พบว่ากระแสการลงทุนมีทิศทางไหลออกเล็กน้อยเป็นจำนวน 7 ตัน ส่วนภูมิภาคเอเชียยังคงเติบอย่างโตต่อเนื่อง ด้าน ETF ทองคำในยุโรปซึ่งมีกระแสการลงทุนไหลออกจำนวนมากในเดือนเมษายน ปัจจุบันได้เปลี่ยนทิศทางเป็นการไหลเข้าในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนในภูมิภาคอเมริกาเหนือนั้นการไหลออกของการลงทุน ETF ได้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ได้ส่งผลให้ความต้องการเครื่องประดับลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 อย่างไรก็ตามความต้องการทองคำเครื่องประดับในประเทศไทยกลับเพิ่มขึ้น 12% จากปีที่ผ่านมาเป็นจำนวน 2 ตัน ขณะที่เวียดนามและอินโดนีเซียมีความต้องการลดลงในไตรมาสที่ 2 นี้ ภาพรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ความต้องการทั่วโลกยังคงแข็งแกร่งหากเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณความต้องการในไตรมาสที่ 1 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยียังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเติบโต 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตที่ก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI ในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% จากปีที่ผ่านมา ยอดรวมของอุปทานทองคำเติบโตขึ้น 4% โดยสาเหตุหลักมาจากการผลิตทองคำของเหมืองแร่ที่เพิ่มขึ้น 929 ตัน ในขณะที่การรีไซเคิลทองคำได้เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 ซึ่งถือเป็นปริมาณสำหรับไตรมาสที่ 2 ของปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2555
คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า ทิศทางของประเทศไทยสวนทางกับแนวโน้มในระดับโลกสำหรับไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ แม้ว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ก็ตาม เราพบว่าความต้องการทองคำเครื่องประดับของไทยเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วอยู่ที่ระดับ 2 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคตอบสนองต่อการปรับตัวของราคาทองคำในช่วงกลางไตรมาส และใช้จังหวะนั้นเป็นโอกาสในการเข้าซื้อก่อนที่ราคาจะกลับมาสู่ทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง
ขณะที่การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำในประเทศไทยได้เติบโตอย่างน่าทึ่งและเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเป็นจำนวน 7 ตัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง และการที่แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการลงทุนในทองคำได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตามแพลตฟอร์มเหล่านี้ยังไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในแง่ของการลดความต้องการของทองคำแท่งและเหรียญในปัจจุบัน
คุณหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า ราคาทองคำที่พุ่งสูงและทำลายสถิติจนกลายเป็นข่าวที่ได้รับความสนใจในช่วงที่ผ่านมานั้น เกิดจากความต้องการที่แข็งแกร่งของธนาคารกลางและการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ที่สนับสนุนราคาทองคำ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ภาคการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความต้องการทองคำอย่างต่อเนื่องทั้งจากสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ รวมถึงสำนักงานดูแลสินทรัพย์ครอบครัว เนื่องจากพวกเขาได้หันมาลงทุนทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอ ในทางกลับกัน ปริมาณความต้องการเครื่องประดับได้ลดลงในไตรมาสที่ผ่านมาเนื่องจากราคาทองคำที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังได้ดึงดูดให้นักลงทุนรายย่อยบางส่วนขายทองคำเพื่อทำกำไร
จากการคาดการณ์และการรอคอยมาเป็นระยะยาวนานว่าธนาคารกลางสหรัฐ ฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่นานนี้ ทำให้กระแสการลงทุนไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำเพิ่มขึ้นเนื่องจากนักลงทุนจากตะวันตกหันกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของการลงทุนในกลุ่มนี้อาจเปลี่ยนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของความต้องการทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 สำหรับประเทศอินเดียการลดภาษีนำเข้าที่ได้ประกาศไม่นานมานี้น่าจะสร้างเงื่อนไขเชิงบวกให้กับความต้องการทองคำ เนื่องจากราคาที่สูงได้ลดทอนการซื้อทองคำของผู้บริโภคก่อนหน้านี้