ผู้ว่าฯ กทม. ยืนยันพร้อมจ่ายหนี้ BTS กว่า 1.1 หมื่นล้าน ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงประเด็นการชำระหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ของบีทีเอส หลังศาลมีคำสั่งให้กรุงเทพมหานคร และ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) จ่ายหนี้ให้แก่บีทีเอส เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทางบีทีเอส พร้อมเจรจาเรื่องมูลหนี้ที่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพมหานคร จะเร่งจัดการประชุม ร่วมกับ KT และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อสรุป และปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโดยเร็วที่สุด แต่อย่างไรก็ตามต้องได้รับการเห็นชอบจากสภากรุงเทพมหานครด้วย เพราะผู้บริหารฯ ไม่สามารถนำเงินงบประมาณ หรือเงินสะสมจ่ายขาดมาจ่ายด้วยตนเองได้ ซึ่ง ณ ขณะนี้อยู่ระหว่างสรุปข้อมูลคำพิพากษาของศาลอยู่ จากนั้นต้องดำเนินการตั้งเรื่องเพื่อส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภากรุงเทพมหานคร โดยจะต้องมีรายงานสภากรุงเทพมหานครรับทราบ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 140 วัน และจะพยายามให้การดำเนินการทั้งหมด เสร็จสิ้นภายใน 180 วัน ตามคำสั่งศาลฯ

โดยกรุงเทพมหานคร จะพยายามใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์ และคุ้มค่ามากที่สุด เพราะเงินที่นำมาใช้เป็นเงินของประชาชน ซึ่ง ณ ขณะนี้กรุงเทพมหานครมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงให้กับบีทีเอสของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี และส่วนต่อขยายที่ 2 ประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ค่าโดยสารที่เก็บได้อยู่ที่ประมาณ 2,000 บาทต่อปี ซึ่งส่วนต่างของภาระหนี้ถือเป็นเงินจำนวนมาก กรุงเทพมหานครจึงต้องเร่งจัดการประชุมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตัดสินใจในหลายเรื่อง อาทิ เรื่องระยะยาว หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุนที่จะหมดสัญญาภายในปี 2572 ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนต่อ จึงต้องผ่านการร่วมกับพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ

ทั้งนี้ สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงสิ้นสุด ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 มีจำนวนกว่า 39,402 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ยอดหนี้ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ให้กรุงเทพมหานคร และ KT ร่วมกันชำระให้กับบีทีเอสเป็นเงินจำนวนกว่า 11,755 ล้านบาท, ส่วนต่อมา คือ ยอดหนี้ที่บีทีเอสได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ให้กรุงเทพมหานคร และ KT ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงให้กับบีทีเอสของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 โดยเป็นหนี้ค่าจ้างตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 ถึง ตุลาคม 2565 เป็นเงินจำนวนกว่า 11,811 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง นอกจากนี้ยังมีหนี้ที่ไม่ได้ฟ้อง (หนี้ค่าจ้างตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึง มิถุนายน 2567) อีกกว่า 13,513 ล้านบาท ที่สามารถถือได้ว่าเป็นภาระหนี้ของชาวกรุงเทพมหานครทุกคน