สังคม

ท้าทาย กม.ไทย! ไกด์แฉซื้อขายพาสปอร์ต มีนานแล้วนับ 10 ปี - ตม.เต้น ชี้ตัวคนบงการอยู่ต่างประเทศ

โดย nattachat_c

23 ก.ค. 2567

256 views

โซเซียลแชร์ ป้ายภาษาจีนโฆษณาซื้อขายสัญชาติ 4 แยกห้วยขวาง ด้าน ตม.บอกพบตัวคนบงการอยู่ต่างประเทศ ขณะที่ ผบ.ตร.สั่ง บช.น.ตรวจสอบที่มาของป้ายโฆษณารับทำหนังสือเดินทางและสัญชาติต่างๆ สน.ห้วยขวาง เตรียมลงตรวจสอบจุดติดตั้งป้ายโฆษณาชวนซื้อพาสปอร์ต


วานนี้ (22 ก.ค. 67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ภาพป้ายโฆษณาที่ถ่ายจากสี่แยกห้วยขวาง ในป้ายมีภาษาจีนตัวใหญ่และมีรูปคนสูงอายุมีภูมิฐาน ด้วยความสงสัยว่าเป็นโฆษณาอะไรจึงใช้แอปฯ ในการช่วยแปลจนพอสรุปได้ว่า นี่คือป้ายโฆษณาขายหนังสือเดินทาง ตรวจคนเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว รวมถึงการแปลงสัญชาติถูกกฎหมาย 100% โดยมีให้เลือกสัญชาติคือ อินโดนีเซีย ราคา 30,000 หยวน / วานูอาตู 70,000 หยวน / กัมพูชา 100,000 หยวน และ ตุรกี 150,000 หยวน


ป้ายโฆษณายังระบุอีกว่า ทำหนังสือเดินทางได้ภายใน 30 วัน / ปลอดภ้ย / เป็นความลับ / ทำเสร็จค่อยจ่ายเงิน / รับสมัครตัวแทนทั่วโลก เป็นกลุ่มบริษัทเชี่ยวชาญด้านการย้ายประเทศ ก่อตั้งมากว่า 13 ปี และได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ


นางสาวภัทรนันท์ จารุดุล อายุ 29 ปี เจ้าของโพสต์ เล่าว่า ปกติตนใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ จะเป็นป้ายโฆษณาร้านขายไก่ทอดแห่งหนึ่ง แต่เมื่อวาน ขับรถผ่านเห็นเปลี่ยนป้ายใหม่ค่อนข้างเด่น เป็นภาษาจีนทั้งหมด จึงสงสัยว่าหมายความว่าอะไร จึงลองใช้ Google แปลภาษา แปลออกมาตามภาพ รู้สึกแปลกใจกับข้อความที่ปรากฏ จึงได้โพสต์ถามในเฟซบุ๊ก


โดยส่วนตัวรู้สึกแปลกใจ สงสัยว่าสามารถทำได้จริงหรือ เราสามารถซื้อสัญชาติได้จริงไหม แล้วภาษาบนป้ายเป็นภาษาจีนทั้งหมดเลย ต้องการโฆษณาให้กลุ่มลูกค้ากลุ่มไหน


"ตนรู้สึกตกใจที่ขายสัญชาติในบ้านเรา แปะในเมืองไทยก็น่าจะมีภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษบ้าง แต่อันนี้ค่อนข้างเป็นการโฆษณาเฉพาะกลุ่ม"

--------------

พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. เปิดเผยว่า การซื้อขายสัญชาติมีอยู่จริงในโลก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศที่มีประชากรน้อย และเชิญชวนชาวต่างชาติไปทำธุรกิจในประเทศเหล่านั้น ซึ่งมีเพียงไม่กี่ประเทศ


แต่สำหรับในประเทศไทย ยืนยันว่า ไม่มีการซื้อขายสัญชาติแบบนี้แน่นอน และกรณีที่เกิดขึ้น ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีการซื้อขายจริงหรือไม่ หรือหากมีการกระทำจริง จะเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายของไทยในข้อไหน จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียด หากผิดก็ต้องดำเนินคดี


และจากการตรวจสอบเบื้องต้นในป้ายโฆษณา เป็นการซื้อขายสัญชาติในประเทศของพวกเขา ไม่ได้เกี่ยวกับการซื้อขายสัญชาติไทย เพียงแต่ใช้พื้นที่โฆษณาในประเทศไทยเท่านั้น จึงยังไม่เห็นว่าจะกระทบกับความมั่นคงของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบต่อประเทศไทย


ล่าสุด ตำรวจได้สืบสวนทราบว่า ผู้ว่าจ้างไม่ได้อยู่ในประเทศไทย จึงเชื่อว่า คนว่าจ้างเป็นชาวต่างชาติ และได้ว่าจ้างบุคคลให้มาขึ้นป้ายโฆษณาให้

--------------

ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังสี่แยกห้วยขวาง พบว่า ป้ายดังกล่าวมีขนาดใหญ่ ประมาณ 14×12 เมตร ติดอยู่บนตึกสูง 4 ชั้น กลางแยก โดยกำลังมีคนงานประมาณ 6-7 คน กำลังปลดป้ายดังกล่าวออก


ทีมข่าวจึงได้ไปสอบถามว่าทำไมถึงปลดป้ายออก ทางลูกจ้างรายหนึ่งแจ้งกับทีมข่าวว่า นายจ้างโทรมาให้ปลดป้ายดังกล่าวออก เมื่อถามกลับไปว่า ใครเป็นนายจ้าง แต่ลูกจ้างดังกล่าวไม่ได้ให้คำตอบ พร้อมบ่ายเบี่ยงว่า คนจ้างให้ติดป้ายโฆษณาไม่ทราบว่าเป็นใคร


ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวางได้ลงพื้นที่ และได้เข้าควบคุมตัวคนงานทั้งหมด พร้อมกับยึดของกลางเป็นแผ่นป้ายโฆษณา และอุปกรณ์ในการติดตั้งมาสอบปากคำ เพื่อถามหานายจ้าง และคนจ้างให้ติดป้ายโฆษณาดังกล่าว


ด้าน นายไพฑูรย์ งามมุข ผู้อำนวยการเขตห้วยขวาง เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวเบื้องต้น ได้รับรายงานเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในวันนี้ (23 ก.ค. 67) ตนเองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เบื้องต้น ได้ส่งเจ้าหน้าที่กรมโยธาลงไปตรวจสอบ ในกรณีที่มีการแอบลักลอบติดแผ่นป้ายโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โทษปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท


ส่วนความผิดข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เข้าข่ายความผิดข้อหาใดบ้าง

--------------

ด้าน กรมการปกครอง ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า มีการขึ้นป้ายดังกล่าว เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 เนื้อหาเป็นข้อความเกี่ยวกับการรับจ้างทำหนังสือเดินทาง และรับจ้างดำเนินการแปลงสัญชาติ (สัญชาติที่สอง) ได้ใน 30 วัน โดยมีภาพตัวอย่างหนังสือเดินทางของประเทศอินโดนีเซีย วานูอาตู กัมพูชา และตุรกี (ไม่กล่าวถึง/หรือมีภาพ ประเทศไทย แต่อย่างใด)


กรมการปกครองได้ตรวจสอบแล้ว การขึ้นป้ายโฆษณาลักษณะดังกล่าวอาจจะเป็นความผิดตามกฏหมายในการรับจ้างปลอมแปลงเอกสาร หรืออาจเป็นการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สินของผู้ที่ประสงค์จะดำเนินการฯ


จึงได้สอบถามไปยัง เจ้าของ/ผู้รับจ้าง ติดป้ายดังกล่าว ซึ่งแจ้งว่าได้รับการว่าจ้างให้ติดป้ายโฆษณาดังกล่าวจากชาวจีน โดยได้ติดตั้งเสร็จ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 แต่ภายหลังได้ทราบข่าวทางสื่อโซเชียลถึงความไม่เหมาะสม จึงได้ดำเนินการรื้อถอนเสร็จแล้ว เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 22 กรกฎาคม 2567

--------------

ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า


นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้ทราบถึงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้เปิดเผย และวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ถึงกรณีมีการติดตั้งป้ายโฆษณาภาษาจีน มีข้อความเข้าข่ายโฆษณาขายพาสปอร์ต และ สัญชาติประเทศต่าง ๆ โดยติดตั้งอยู่บริเวณแยกห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ


โดยนายอนุทิน ได้สั่งการให้มีการนำป้ายโฆษณาดังกล่าวลงทันที ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พร้อมได้มีข้อกำชับให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ว่า ป้ายโฆษณาดังกล่าวได้ดำเนินการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ / เจ้าของผู้โฆษณาประกอบธุรกิจที่ถูกกฎหมายหรือไม่


และนำข้อเท็จจริงที่ได้ทั้งหมดเปิดเผยให้ประชาชนทราบอย่างโปร่งใส หากพบมีการกระทำที่ผิดกฎหมาย ให้เร่งสอบขยายผลไปถึงต้นตอผู้กระทำผิด และลงโทษตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด


ทั้งนี้ ตั้งแต่รัฐบาลประกาศนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการผ่อนคลายวีซ่าให้หลายประเทศ นายอนุทิน ได้ให้นโยบายกับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ให้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยความมั่นคงในการตรวจสอบ สอดส่อง กวดขันอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการใช้ไทยเป็นฐานก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบ อันจะกระทบกับภาพลักษณ์ประเทศ ความเชื่อมั่นต่อการท่องเที่ยว และการลงทุนในระยะยาว

--------------

นายไพศาล ซื่อธานุวงศ์ กรรมการสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ธุรกิจประเภทนี้ มีมานานแล้ว แต่ก็มองว่าการขึ้นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ที่ค่าเช่าเดือนละเป็นแสนบาท สะท้อนว่า อาจจะมีลูกค้าชาวต่างชาติสีเทา หรือสีดำ ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย


คุณไพศาล มองว่า ลูกค้าหลักของป้ายนี้คือคนจีน เพราะป้ายโฆษณาเป็นภาษาจีน มองว่ากลุ่มเป้าหมายที่ทำพาสปอร์ตเหล่านี้ อาจเป็นคนจีนที่มีคดีที่ฝั่งจีน หรือคนจีนในประเทศไทยที่ไม่สามารถเดินทางกลับจีนได้ จึงอาจจะใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เพื่อไปประเทศที่ 3 สำหรับหลบหนี


ส่วนที่บนป้ายโฆษณา มี 4 สัญชาติ คือ อินโดนีเซีย วานูอาตู กัมพูชา และ ตุรกี  คุณไพศาล เชื่อว่า เป็น 4 ประเทศที่ เจ้าของป้ายดังกล่าว มีเครือข่ายอยู่


เมื่อถามว่า คิดว่ามีคนไทยร่วมด้วยหรือไม่ คุณไพศาล ระบุว่า ส่วนตัวมองว่า ชาวต่างชาติจะทำเรื่องผิดกฎหมายเป็นไปได้ยาก ถ้าไม่มีคนไทยให้ความร่วมมือ และความร้ายแรงของปัญหาจะมากขึ้น ถ้าคนไทยเรานั้นเป็นผู้มีอำนาจ


และการที่ขึ้นป้ายขนาดนี้ ค่อนข้างจะย่ามใจว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยมีการควบคุมตรวจสอบกลุ่มคนเหล่านี้มันน้อยมาก หลายครั้งเชื่อว่า สามารถที่จะใช้เงินในการที่จะแก้ปัญหาได้ และเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจว่าสิ่งที่เขาเชื่อ ก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง


โดยพาสปอร์ตที่ทำกัน มี 2 กรณี คือ

1.เป็นพาสปอร์ตปลอม และเอามาหลอกขายคนจีนอีกที

2. เป็นเอกสารจริง แต่การที่ได้มา เชื่อได้ว่าเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบ เพราะขั้นตอนการให้สัญชาติชาวต่างชาติ เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

--------------

ไกด์นำเที่ยวอีกคน ให้ข้อมูลทีมข่าวตรงกันว่า ธุรกิจนี้มีมาเป็น 10 ปีแล้ว ซึ่งเดิมที ซื้อขายกันทางออนไลน์ จึงไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้ ถึงกล้าโฆษณาแบบนี้ ซึ่งการซื้อขายพาสปอร์ตบางประเทศก็ถูกกฎหมาย บางประเทศผิดกฎหมาย แต่สำหรับไทย และจีน ผิดกฎหมายแน่นอน


ทั้งนี้ แหล่งข่าวคนนี้ ยืนยันว่า ตนเองรู้จักชาวต่างชาติหลายคน ที่ซื้อพาสปอร์ต บางคนมี 2-3 สัญชาติ โดยก็ใช้เงินซื้อกัน หรือใช้รูปแบบเอาเงินไปลงทุน ซื้อผ่านโบรกเกอร์แบบนี้เลย ซึ่งราคาถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณหลักแสน หรือหลักล้านบาท ส่วนสาเหตุที่เป็น 4 ชาตินี้ เพราะทำได้ง่าย


โดยพาสปอร์ตที่ได้มา ใช้งานได้เป็นเล่มจริง เพราะพาสปอร์ตปลอมไม่สามารถใช้งานได้จริง แต่ก็มีบางรายที่ถูกหลอก ก็ได้พาสปอร์ตปลอมมา

--------------

พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 โฆษกสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กล่าวถึงกรณีป้ายที่เป็นข่าวว่า มีข้อพิจารณาดังนี้ คือ


1. การซื้อขายหนังสือเดินทางทั้ง 4 สัญชาติ ทำได้หรือไม่ ผิดกฏหมายไทยหรือไม่ ?

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า หนังสือเดินทาง คือเอกสารรับรองการมีตัวตนในสัญชาตินั้นๆ ซึ่ง บุคคลนั้น ต้องได้เป็น บุคคลที่เป็น citizen ของชาตินั้น ๆ ก่อน ดังนั้น ในกรณีนี้ ต้องดูว่า รัฐบาลทั้ง 4 สัญชาติ ยินยอมให้บุคคลต่างชาติใช้สัญชาติของประเทศตัวเองหรือไม่ ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของประเทศนั้น ๆ เราคงไม่สามารถชี้แจงแทนประเทศนั้น ๆ ได้ และการซื้อขายหนังสือเดินทางตามที่กล่าวอ้าง ก็ต้องหมายถึงการซื้อสัญชาตินั้นด้วย จึงจะออกหนังสือเดินทางชาตินั้น ๆ ได้ ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของรัฐบาลชาติดังกล่าวอีกว่า สามารถอนุญาตให้ซื้อขายได้จริงหรือไม่ ?


2. การโฆษณาเช่นนี้ ผิดกฏหมายหรือไม่ ?

ประเด็นนี้ ต้องดูว่า การโฆษณานี้นั้น เข้าลักษณะหลอกลวงหรือไม่ เช่น พอมีลูกค้าจ่ายเงินแล้ว แต่ไม่มีการรับบุคคลนั้นเป็น citizen หรือ ไม่สามารถทำหนังสือเดินทางให้ได้จริง ก็อาจเข้าข่ายการโฆษณาข้อความอันเป็นเท็จ และฉ้อโกงตามแต่พฤติกรรมที่ปรากฏ ซึ่งต้องมีผู้เสียหายมาแจ้งความ หรือ กรณีออกหนังสือเดินทางปลอมให้ ก็เข้าข่ายปลอมแปลงเอกสาร ฯ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดต้องดูตามข้อเท็จจริง ส่วนการขึ้นป้ายสาธารณะนั้น เป็นกฏหมายที่มีหน่วยงาน เขตพื้นที่ที่รับผิดชอบโดยตรง กำกับควบคุมดูแล และอนุญาตติดตั้ง ต้องให้หน่วยงานนั้นชี้แจงในรายละเอียดต่อไป


อย่างไรก็ดี การเผยแพร่จำหน่ายหนังสือเดินทาง ลักษณะดังกล่าว มีข้อสงสัยว่า บุคคลที่ต้องการซื้อหนังสือเดินทางสัญชาติอื่น ทั้งที่ตนมีสัญชาติอยู่แล้ว มีเจตนาอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้มอบหมายฝ่ายสืบสวนทำการตรวจสอบกับ สถานกงสุล และ สถานทูตทั้ง 4 สัญชาติ ดังกล่าว ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อขยายผลต่อไป หากพบว่า มีเจตนาที่เกี่ยวข้องกับขบวนการทำผิดกฎหมาย จะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

--------------

เว็บไซต์ที่ให้บริการย้ายถื่นฐาน ได้บอกถึงการลงทุนเพื่อสัญชาติว่า 


โปรแกรมการลงทุน เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติวานูอาตู

ต้องจ่าย 7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการตรวจสอบที่มาของรายได้ ส่วนการบริจาค ต้องจ่ายเงิน 130,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับผู้สมัครหนึ่งคน


โปรแกรมการลงทุน เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติตุรกี

เปิดโอกาสให้บุคคลและครอบครัวให้มีสิทธิ์ได้รับสัญชาติและหนังสือเดินทาง เมื่อทำการลงทุนที่เข้าเงื่อนไขในประเทศตุรกีขั้นต่ำ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และต้องถือครองอย่างน้อย 3 ปี

-------------

อีกเว็บไซต์ที่ให้บริการย้ายถื่นฐาน ได้บอกถึงการลงทุนเพื่อสัญชาติว่า

โปรแกรม กัมพูชา My Second Home

วีซ่าทองคำ 10 ปี มีค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีเงื่อนไขคือ มีทรัพย์สิน หรือเงินสดในบัญชี 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ 


ซึ่งผู้ที่ครอบครองวีซ่าทองคำ 10 ปี จะได้ใบอนุญาตทำงาน / บัญชีธนาคาร / สามารถมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน 100% ผ่าน Trust Holding


ส่วนโครงการวีซ่าทองคำของอินโดนีเซีย 

จะเป็นการให้สิทธิพำนักระยะยาวในระยะเวลาตั้งแต่ 5-10 ปี โดยกำหนดให้นักลงทุนจะต้องมีการตั้งบริษัทในอินโดนีเซีย ด้วยเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


ส่วนวีซ่า 10 ปี เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

-------------

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/uul-jUoGzuQ


คุณอาจสนใจ

Related News