สังคม

เตรียมฝากขังสองสามีภรรยา เปิดสำนักนวดเปลือยรักษามะเร็ง ล่าสุดเหยื่อโผล่แฉเพิ่ม

โดย kanyapak_w

16 ก.ค. 2567

366 views

ตำรวจเตรียมฝากขังสองสามีภรรยา เปิดสำนักนวดเปลือยรักษามะเร็ง ล่าสุดเหยื่อโผล่แฉเพิ่ม ไปรักษามะเร็งเต้านมกลับถูกนวดและให้กินยาต้มจนตาย


จากกรณีที่มีผู้เสียหาย นางสาวกิ๊ก (นามสมมติ) อายุ 20 ปี ชาวอำเภอวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี นำคลิปมาร้องสื่อขอความช่วยเหลือ หลังถูกพ่อแม่บังคับให้ไปนวดน้ำมันรักษาโรคมะเร็ง กับนายเขียว ซึ่งอ้างตัวเป็นร่างทรงฤาษี และนางพุทธ ซึ่งเป็นภรรยา ด้วยการให้คนที่มารักษาเปลือยกายล่อนจ้อนเพื่อนวดรักษา โดยมีคลิปหลักฐานที่แอบถ่ายระหว่างเจ้าของสำนักกำลังนวดเปลือยให้เด็กสาวอายุ 14 ปี



ผู้เสียหายเล่าว่า พ่อและแม่เป็นลูกศิษย์ของสำนักที่ชื่อว่า สำนักร่างทรงยมราช บรมครูศิษย์อาจารย์ตาฤาษี สีสองผัวเมียเป็นเจ้าสำนัก คือหมอเขียว สามี และหมอพุทธ ภรรยา เมื่อ 3 เดือนก่อน หมอเขียว ซึ่งอ้างตัวเป็นร่างทรงฤาษี บอกกับพ่อแม่ว่า เธอป่วยเป็นมะเร็งช่องคลอด และเต้านม ให้พาลูกสาวมาพ่นหมากพลู ต้มยากิน และนวดรักษา ซึ่งพ่อแม่ก็เชื่อ และพาเธอไปรักษา



ทุกครั้งที่ไปนวดต้องถอดเสื้อผ้าออก แล้วสองผัวเมียก็พ่นหมากพลูใส่ทั่วร่างกาย และทาน้ำมันว่าน แล้วบีบนวด ลูบไล้ไปทั่วร่าง สุดท้ายเธอรู้สึกไม่สบายใจ จึงตัดสินใจไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล พบว่าปกติตี ไม่มีเชื้อมะเร็งตามที่ร่างทรงกล่าวอ้าง พอบอกพ่อกับแม่ก็ไม่เชื่อ บังคับให้ไปนวดทุกสัปดาห์ ขนาดมาเรียนที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี พ่อก็ยังตามมาเฝ้าอยู่หน้าหอพัก เพื่อบังคับให้กลับไปนวด จนต้องพยายามหลบหน้าพ่อ และขอความช่วยเหลือกับสื่อ จากนั้นน้าชายและน้าสาวได้พาเข้าแจ้งความที่ สภ.วิภาวดี เพื่อเอาผิดกับร่างทรงฤาษี ที่ล่วงละเมิดหลานสาว ทั้งจับหน้าอกและจับของลับ



จากนั้นช่วงบ่าย ตำรวจได้หมายจับจากศาลจังหวัดไชยา สุราษฎร์ธานี นายถาวร อายุ 47 ปี และนางวิภา อายุ 50 ปี สองสามีภรรยา พร้อมนำตัวทั้งคู่ไปชี้ที่เกิดเหตุ เพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน ท่ามกลางความสนใจของชาวบ้านต่างมามุงดู และส่งเสียงก่นด่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ด้วยถ้อยคำรุนแรง ส่วนใหญ่ต้องการให้ครอบครัวนี้ย้ายออกไปจากหมู่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านบางคนบอกว่า เคยไปดูดวงที่สำนัก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีพฤติกรรมเช่นนี้



ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านของผู้ต้องหาที่เปิดเป็นสำนัก ที่อำเภอวิภาวดี พบหลักฐานมีการเปิดให้การรักษาผู้ป่วยโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงได้กล่าวโทษความผิดเปิดประกอบกิจการสถานพยาบาล โดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ซึ่งไม่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขโดยไม่ได้รับอนุญาต



ส่วนที่โดนแจ้งข้อหาไปแล้ว คือ ความผิดกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิด ว่าตนเป็นบุคคลอื่น และเป็นการกระทำโดยใช้อวัยวะอื่น ซึ่งมีใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะของบุคคลนั้น แต่ทั้งคู่ยังให้การปฎิเสธ อ้างว่า เป็นการรักษาอาการป่วยของผู้เสียหาย



ทางด้าน พลตำรวจตรี เสริมพันธุ์ ศิริคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี สั่งตำรวจสืบสวนสอบสวนขยายผล และขอให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเข้าแจ้งความร้องทุกข์ เพราะคาดยังมีผู้เสียหายอีกหลายราย



ต่อมาช่วงบ่ายวานนี้ มีครอบครัวของเด็กวัย 12 ได้เข้าแจ้งความ เพื่อเอาผิดกับร่างทรงฤาษี ซึ่งในรายของน้อง 12 มีคลิปหลักฐานที่ตายายของน้องพาไปรักษาที่สำนัก อ้างว่าเด็กเป็นมะเร็งเต้านม มีการให้เด็กถอดเสื้อผ้านุ่งกระโจมอก แล้วเจ้าสำนักทั้งสองก็มานวด ทั้งที่เด็กกรี๊ดร้องไม่เต็มใจ พยายามบอกให้พอๆ



ล่าสุดมีผู้เสียหาย ออกมาให้ข้อมูลระบุว่า ภรรยาป่วยเป็นมะเร็งและได้มารักษากับหมอฤาษีจนเสียชีวิต โดยนายโพธิ์ บอกว่า ภรรยาของตนเดิมทีเป็นประธาน อสม.ที่อำเภอวิภาวดี มีการตรวจเช็คร่างกายตลอด แต่ต่อมาพบก้อนเนื้อที่เต้านม และหมอบอกว่ามีเชื้อมะเร็ง จึงได้ทำการรักษาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีมาตลอด แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาหมอได้เลื่อนนัด ขณะที่ภรรยาบอกว่ามีอาการเจ็บที่เต้านมมากกว่าปกติ



จึงได้ไปลองรักษากับหมอฤาษี โดยเสียค่าใช้จ่ายวันละ 100 บาทและต้มยาหม้อละ 3,000 บาท โดยส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่ภรรยาอยากหาย รวมทั้งหมอฤาษียืนยันว่าจะรักษาให้หายภายใน 3 เดือน หากอาการไม่ดีขึ้นเอาชีวิตหมอฤาษีเป็นเดิมพัน ปรากฎว่ารักษาได้ 2 เดือนกว่าๆ เริ่มมีน้ำเหลืองไหลที่เต้านม และบวมมาก ภรรยาเจ็บปวดทรมาน และเสียชีวิตเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังภรรยาเสียชีวิตหมอฤาษียังมาทวงค่ายาต้ม บอกว่าภรรยาค้างจ่ายด้วย ตนเองรู้สึกเสียใจมาก ขณะนี้ได้ปรึกษากับผู้รู้เพื่อที่จะฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายจากตำหนักหมอฤาษีต่อไป



ส่วนสองผัวเมียเจ้าสำนักฤาษี วันนี้พนักงานสอบสวน สภ.วิภาวดี จะนำตัวไปขออนุญาต ฝากขังที่ศาลจังหวัดไชยา โดยไม่อนุญาตให้มีการประกันตัวในชั้นสอบสวน


คุณอาจสนใจ