สังคม
มติก.ตร.12 ต่อ 0 เห็นชอบคำสั่งให้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ออกจากราชการ – ‘พล.ต.อ.วินัย’ เชื่อ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ฟ้องดะเพื่อปิดปาก
โดย petchpawee_k
27 มิ.ย. 2567
388 views
ก.ตร. โหวต 12/0 เห็นชอบ รรท ผบ.ตร. ให้ออก ‘บิ๊กโจ๊ก’ ด้าน ‘นายกฯ’ ชิ่งกลับก่อน ไม่พูดหลังร่วมประชุม ก.ตร.เกือบ 3 ชั่วโมง โยน เลขาฯแถลง
วานนี้ (26 มิ.ย.) พลตำรวจโท อนุชา รมยะนันทน์ เลขานุการ ก.ตร. ชี้แจงผลการพิจารณาการเซ็นคำสั่งให้พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกจากราชการไว้ก่อน โดยมติที่ประชุมเสียงส่วนมาก 12:0 เห็นชอบในคำสั่งที่เซ็นให้ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งสอดคล้องกับอนุกรรมการวินัยก่อนหน้านี้ที่มีความเห็นว่า พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธ์พ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เซ็นให้บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมาย จาก มติ 14:1
พลตำรวจโท อนุชา ยังระบุอีกว่าในมติของ ก.ตร. เรื่องบิ๊กโจ๊ก ไม่ใช่เป็นการกดดันการทำงานของ ก.พ.ค.ตร.ที่จะมีการพิจารณาในภายหลังจากนี้ ซึ่งการพิจารณาของ ก.พ.ค.ตร. เป็นอิสระ อีกทั้ง การพิจารณาของ ก.ตร. ไม่ได้มีอำนาจชี้ขาดในกรณีบิ๊กโจ๊ก เป็นเพียงการพิจารณาในส่วนของบริหารงานส่วนบุคคล แต่ในส่วนของอำนาจการชี้ขาดเป็นของ ก.พ.ค.ตร. ซึ่งจะมีการพิจารณา 120 และขยายเพิ่มได้ 2 รอบ (รอบละ 60 วัน) แต่เชื่อว่าจะสามารถพิจารณาเสร็จในกรอบแรก
อีกทั้งในที่ประชุมมีการนำมติกฤษฎีกาในเรื่องของการตีความบิ๊กโจ๊กมาพิจารณาด้วย แต่พลตำรวจโท อนุชา ไม่ขอลงในรายละเอียดประเด็นดังกล่าว
ส่วนมติของ ก.ตร. จะสามารถให้ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินำชื่อบิ๊กโจ๊กขึ้นทูลเกล้า ให้บิ๊กโจ๊กออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ ประเด็นนี้ก็ขอไม่ขอตอบ เพราะอยู่นอกเหนืออำนาจของ ก.ตร.
ส่วนกรณีที่ บิ๊กต่าย 1 ใน คณะกรรมการ ก.ตร.ไม่ได้มาร่วมลงมติในครั้งนี้ เนื่องจากอาจทำให้การพิจารณาไม่เป็นกลาง ซึ่งทาง บิ๊กต่ายได้เสนอในที่ประชุมว่าของดเข้าร่วมพิจารณา เนื่องจากอาจเกิดความไม่เป็นธรรมซึ่งทางมติที่ประชุมก็เห็นชอบที่จะไม่ให้เข้าร่วม
และเมื่อคำสั่งตาม ก.ตร.ให้ บิ๊กโจ๊ก ออกราชการไว้ก่อนยังไม่สมบูรณ์ บิ๊กโจ๊ก จะสามารถกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งในฐานะรองผู้บังคับการตำรวจแห่งชาติได้อยู่หรือไม่นั้น พลตำรวจโท อนุชาระบุว่า ในส่วนนี้เกินอำนาจหน้าที่ที่จะตอบได้ และ นอกเหนืออำนาจตัวเองที่จะพิจารณา
ส่วนประเด็นที่คณะกรรมการบางคนถูก บิ๊กโจ๊ก ไล่ฟ้องจะส่งผลให้ไม่สามารถเข้าพิจารณาได้ครบองค์ประชุมหรือไม่ พลตำรวจโท อนุชาระบุว่า เรื่องนี้ถือว่าไม่เป็นปัญหา และผู้ที่ถูกฟ้องสามารถเสนอเหตุผลในที่ประชุม ก.ตร. ว่าอาจจะทำให้การพิจารณาไม่เป็นกลางซึ่งทางคณะกรรมการจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะให้ออกจากการพิจารณาได้หรือไม่
และเมื่อถามว่าในที่ประชุมนายกรัฐมนตรี ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษในที่ประชุมหรือไม่ระบุสั้นๆ ว่า ไม่ได้ระบุอะไรเป็นพิเศษแต่ให้เน้นย้ำถึงความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและยึดหลักกฏหมาย
สำหรับ ก.ตร.ทั้งหมดมี 15 คน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ และ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข รรท.รองผบ.ตร. ลาประชุม ทำให้ที่ประชุมเหลือเพียง 13 คน ขณะพิจารณาวาระของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล โดย พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ได้เดินออกจากห้องประชุม เนื่องจากเป็นผู้ที่ลงนามในคำสั่งถือว่ามีส่วนได้เสีย ทำให้เหลือ ก.ตร.12 คน
โดยมี 1.นายเศรษฐา ในฐานะประธาน 2.น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. 3.นายปิยะวัฒน์ ศิวะรักษ์ เลขาธิการ ก.พ. 4.พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. 5.พล.ต.อ.ธนา ชูวงษ์ รอง ผบ.ตร. 6.พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. 7.พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช. 8.นายประทิต สันติประภพ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 9.พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 10.นายศุภชัย ยาวะประภาษ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 11.พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 12.พล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังใช้เวลาในการประชุม ก.ตร.เกือบ 3 ชั่วโมง จนกระทั่งเวลา เวลา 17.43 น .นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกจากห้องประชุม ในขณะที่การประชุมยังไม่เสร็จสิ้น โดยเมื่อเจอผู้สื่อข่าวนายกฯได้โบกมือ พร้อมกับระบุว่าให้เลขาฯ ก.ตร.เป็นคนแถลง
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่านายกฯไม่แถลงข่าวด้วยหรือ นายกรัฐมนตรี กล่าวเพียงว่า “ไม่ครับให้เลขาฯ เป็นคนแถลง เพราะยังมีอีกหลายวาระ การประชุมยังไม่จบ”
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ขึ้นรถเดินทางกลับออกจาก สตช.ทันที โดยมีพลตำรวจเอกต่อศักดิ์สุขวิมลผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินมาส่งถึงรถ จากนั้น ผบ. ตร.และรองผบ. ตร.ได้เดินกลับเข้าไปประชุมต่อ
---------------------------------
'พล.ต.อ.วินัย' ยืนยันนำผล อนุ ก.ตร.วินัย เสนอ ก.ตร. เห็นชอบคำสั่งให้ 'บิ๊กโจ๊ก' ออกจากราชการ ชอบด้วยกฎหมาย เชื่อดาหน้าฟ้องดะปิดปากทุกคนไม่ให้แสดงความเห็นหรือ ออกเสียงใน ก.ตร.
วานนี้ (26 มิ.ย.) พลตำรวจเอก วินัย ทองสอง ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เปิดเผย ภายหลังทราบข่าวพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะฟ้องร้องตนเองฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยได้ลำดับเหตุการณ์ถึงกรณีที่ถูกฟ้องว่า ตั้งแต่สมัยอยู่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตนกับบิ๊กโจ๊ก ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็ได้เกื้อหนุนกันมา ตอนนั้นยัง "ครับพี่ๆ" อยู่ โดยช่วงแรกที่มีข้อขัดแย้งกับทนายความท่านหนึ่ง ยังไปเตือนสติว่าให้ใจเย็นๆ เพราะคำพูดเป็นนายตัวเอง
พอได้รับแต่งตั้งให้ ทำหน้าที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และเป็นประธานคณะอนุกรรมการ ก.ตร.ด้านวินัย ตามที่ ก.ตร.มอบหมาย เพื่อพิจารณาเรื่องที่บิ๊กโจ๊ก ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อ ก.ตร. กรณีที่รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ให้ออกจากข้าราชการไม่ถูกต้อง ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการวินัยที่มีประมาณ 19 คน ได้อภิปรายกันอย่างมากมายซึ่งความเห็นของคณะอนุวินัยฯก็ยังไม่จบ โดยกฎหมายกำหนดให้ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) เป็นที่สุดท้าย “เขาก็พูดว่าอย่าไปเปลืองตัวกับเรื่องนี้เลย แต่ตนพูดว่าไม่ได้ เพราะเราเป็นเหมือนที่ปรึกษากฎหมายของ ก.ตร. ไม่ว่าจะ สิบตำรวจโท พันตำรวจตรี หรือพลตำรวจเอก ถามมาก็ต้องชี้ผิดชี้ถูก”
พลตำรวจเอกวินัย กล่าวว่า คณะอนุฯ วินัย มีมติเสียงส่วนใหญ่ โดยงดออกเสียงหนึ่งคนว่า การดำเนินการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามมาตรา 131 ถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งที่บิ๊กโจ๊กนำไปฟ้องร้องนั้น ก็เพื่อไม่ให้เข้ามาพิจารณาเรื่องที่คณะอนุฯ วินัย เสนอเข้าที่ประชุม ก.ตร. ในวันนี้
เมื่อถามว่า การที่ "บิ๊กโจ๊ก" ฟ้องถือว่าเป็นการฟ้องแก้เกี้ยวหรือไม่ พลตำรวจเอกวินัย กล่าวว่า ไม่รู้ ไม่สามารถไปคิดแทนบิ๊กโจ๊กได้ การที่ "บิ๊กโจ๊ก" เดินหน้าฟ้อง คนที่อยู่ในคณะกรรมการคุณวุฒิ ก.ตร. และผู้ที่เกี่ยวข้อง จะทำให้เกิดเดทล็อค ใน ก.ตร.หรือไม่ พลตำรวจเอกวินัย กล่าวว่า ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการพิจารณา ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 จาก 16 คน ประมาณ 8-9 เสียง แต่วันนี้ก็ขาดไปหลายท่าน ทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคู่ขัดแย้ง แต่ที่ผ่านมามีการลงมติมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกมีผลเอกฉันท์ ว่า รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจ? ตามกฎหมาย แต่ครั้งที่ 2 มีควาทเห็นแย้ง เราก็บันทึกไว้
พลตำรวจเอกวินัย ยืนยัน กับบิ๊กโจ๊กยังรักกัน ตนหวังดีไม่เคยมีจิตคิดร้าย แต่ที่ทำเพราะตำรวจเลือกเขามา ตนอยากเห็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติดีขึ้น อยากเห็นตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน
---------------------------
ขณะที่ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการหารือกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ถูกร้องเรียนว่า แต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) โดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ก่อนหน้านี้ทาง ป.ป.ช.ได้มีการเชิญเลขาคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดแล้ว แต่การเข้ามาชี้แจง เป็นการชี้แจงในภาพกว้างทั่วไป ไม่ได้ลงรายละเอียดในเรื่องของผลงาน
นายนิวัติไชย กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังมีความสงสัยเรื่องของผลงานด้านการสืบสวนสอบสวน เพราะยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียดว่า ผลงานด้านการสืบสวนสอบสวน ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯ มีการกำหนดหลักเกณฑ์ และกรอบการให้คะแนนไว้อย่างไร รวมถึงคำว่าสืบสวนสอบสวน ตาม พ.ร.บ.ฯ มีความหมายว่าอย่างไร ที่ประชุมจึงมีมติให้มีการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
นายนิวัติไชย กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่จะต้องไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ว่า ในระหว่างที่มีการพิจารณาคัดเลือก ผบ.ตร. ในขั้นตอนของ ก.ตร. มีการเสนอผลงานหรือไม่อย่างไร
โดยกรอบเวลาในการตรวจสอบ นายนิวัติไชย ไม่ได้ระบุชัดว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่ระบุเพียงว่า กรณีนี้มีการตรวจสอบเพียงประเด็นเดียว น่าจะไม่ล่าช้า โดยหากตรวจสอบเสร็จสิ้น และพบว่ามีมูล ก็จะมีการเสนอสั่งไต่สวน แต่หากไม่มีมูล ป.ป.ช. ก็จะไม่รับเรื่องไว้พิจารณา
ส่วนประเด็นนี้จะเป็นเหตุให้ นายเศรษฐา พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ยังอีกไกล เพราะขณะนี้เป็นเพียงขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยังไม่ได้มีการสั่งไต่สวนเลยด้วยซ้ำ
เลขาธิการ ป.ป.ช. ยังกล่าวถึงคดีของ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของ ป.ป.ช. ว่า มีอยู่ 2 คดี คือ 1. คดีเว็บพนันมินนี่ ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ป.ป.ช. มีการขอสำนวนคืนจากพนักงานสอบสวน แต่ยังไม่ได้รับกลับมา อยู่ในระหว่างติดตาม
และ 2. คือคดีที่ สน.เตาปูน ป.ป.ช.มีมติรับไว้พิจารณาเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับ “บิ๊กโจ๊ก” ส่วนคดีทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการเล่นพนัน ได้มีการส่งคืน สน.เตาปูน ไปแล้ว โดย ป.ป.ช.จะนำทั้ง 2 สำนวนมาพิจารณาร่วมกัน เพราะทั้ง 2 คดีเป็นโครงข่ายที่มีความเชื่อมโยงกันทางด้านบัญชี
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/riepnDcyAbc