สังคม

'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' ควงคู่แถลงสงบศึก ยันไม่เคยขัดแย้ง โบ้ยโซเชียลปั่นกระแส ลั่นไม่ใช่ สตช.การละคร

โดย nattachat_c

21 มี.ค. 2567

24 views

2 บิ๊กควงคู่แถลงข่าว ‘บิ๊กต่อ’ เผยไม่เคยเกิดภาพความขัดแย้ง เพราะภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจาก 2 คน แต่เกิดขึ้นจากโซเชียลมีเดีย ที่ผ่านมาไม่เคยเตะตัดขาบิ๊กโจ๊ก ไม่ให้นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.

ด้าน ‘บิ๊กโจ๊ก’ รับ ผบ.ตร. พาไปพบนายกฯ จริง เพราะมีแนวคิดที่จะยุติความขัดแย้งในองค์กรตำรวจ วันนี้ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ ย้ำเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชน ได้ฤกษ์ set Zero ใหม่ จากนี้จะไปกินข้าวด้วยกันตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์


วานนี้ (20 มี.ค. 67) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตั้งโต๊ะแถลงพร้อมกัน หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรียกทั้งคู่เข้าพูดคุย และเคลียร์ใจกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล


พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ ระบุถึงการเชิญสื่อมวลชนมาในการแถลงข่าว ว่า ได้มีการเชิญสื่อมวลชนเพื่อมารับทราบข้อมูล เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันในการเสนอข่าว และเพื่อไม่ให้เป็นการสับสน เพราะเป็นภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


ตนในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นว่าภาพที่ปรากฏออกไป อาจทำให้หลายคนเข้าใจ ในการดำเนินการต่าง ๆ หลากหลายความคิด


พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ระบุว่า เรื่องคดีของบิ๊กโจ๊ก ว่า ในส่วนของเรื่องคดี จากนี้ไป คดีที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด จะส่งให้ ป.ป.ช. ทำคดีทั้งหมด เพื่อให้เป็นคนกลาง ในการทำให้เกิดความยุติธรรม ซึ่งได้นำเรียนนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว


ก่อนจะกล่าวถึงภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่า “คนนั้นพูดที คนนี้พูดที” ส่วนตัวเคยพูดเสมอว่า มีการพูดคุยกับรองฯสุรเชษฐ์ตลอด บางทีไม่ได้เจอ ก็คุยผ่านลูกน้องตลอด ภาพเราไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตนพูดเสมอว่า เราจะต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง


พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวถึง เรื่องการส่งมอบคดีให้ ป.ป.ช. ว่า เรื่องการส่งมอบคดีให้ ป.ป.ช. เป็นคนดำเนินการทั้งหมด ตนเป็นคนคิด และตัดสินใจ โดยโทรศัพท์ไปหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อชวนไปพบนายกรัฐมนตรี


จากนั้น ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีให้ รวมสำนวนคดีเว็บพนันทั้ง สน. เตาปูน และสน.ทุ่งมหาเมฆ ไปให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ เพื่อความความยุติธรรม และไม่เกิดภาพของความขัดแย้งขึ้นอีก


อีกอย่าง เรื่องนี้ ต้องไปเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการยุติธรรมอีกหลายหน่วยงาน ที่ต้องเข้ามาตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม และได้มาตรฐานที่สุด


ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า วันนี้ ท่าน ผบ.ตร. ได้พาตนไปพบกับนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ผบ.ตร. มีแนวคิดที่จะหยุดความขัดแย้งทั้งหมดในองค์กร เพราะฉะนั้น วันนี้ ต้องกลับมาตั้งแต่ รอง ผบ.ตร.หมายเลข 1 ลงไป จนถึง ชั้นประทวนทุกคน ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  มีผู้บังคับบัญชาคนเดียว คือ ผบ.ตร. เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรี // ผบ.ตร. และตน มีความคิดเดียวกันคือ ต้องทำงานเดินหน้าให้ประชาชน


ส่วนสำนวนการสอบสวนเหมือนที่ ผบ.ตร.ได้บอกไป การพูดคุยในช่วงเช้า ตนก็อยู่ด้วย ซึ่ง ผบ.ตร. เป็นคนเรียนนายกรัฐมนตรีเองว่า สำนวนเกี่ยวเนื่องทั้งหมด ต้องจัดส่ง ป.ป.ช.ทั้งหมด


ทั้งนี้ ขอเรียนในฐานะที่เคยทำงานด้านการสืบสวนสอบสวน ถึงเรื่องหมายจับ และหมายเรียก ว่า เมื่อมาถึง ป.ป.ช. ต้องเป็นกระบวนการของ ป.ป.ช.


ส่วนจะมีการออกหมายเรียก หรือหมายจับ หรือไม่นั้น ต้องเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นกระบวนการของกฎหมาย


ขณะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ย้ำว่า เราไม่ได้มีความขัดแย้งกันเลย เราฟังจากสื่อ และจากวันนี้ไป สื่อและโซเชียลมีเดีย ที่มีการนำเสนออกไปว่า ผมออก-บิ๊กโจ๊กออก ขอบอกว่า มันไม่ใช่สาเหตุมาจากพวกผม 2 คน เลยนะ


“มันก็มีคนที่อยากให้เกิดความขัดแย้ง พี่น้องสื่อเองที่นั่งอยู่ตรงนี้ ก็แบ่งเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย ใช่หรือไม่? พี่อยากให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วทำไมสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนอีกตั้งเยอะ แล้วทำไม ไม่โฟกัสพวกพี่เรื่องนี้  มัวแต่ไปโฟกัสเหมือนกับว่าพวกพี่ขัดแย้งกัน พี่ไม่เคยไปขัดแย้งกับใคร ส่วนเรื่องการเตะสกัดขา ทำไมพี่ต้องเตะบิ๊กโจ๊ก พี่เป็น ผบ.ตร.


จากนี้ไป หากโลกโซเชียลมีมุม เราขัดแย้งกันขอยืนยันว่า มันไม่ใช่จากพี่หรือจากบิ๊กโจ๊กเลย แสดงว่าต้องมีขบวนการที่จะทำแบบนี้ แล้วพี่น้องประชาชนจะได้อะไรจากการที่เป็น ผบ.ตร. กับ รอง ผบ.ตร. หรือผู้บังคับบัญชาระดับสูง ไม่ทำอะไร หากเป็นแบบนี้พี่รับไม่ได้”


สื่อมวลชนได้ถาม 'บิ๊กต่อ' ว่า เครียดหรือไม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยอมรับว่า เครียด แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด พยายามประนีประนอม ไม่ให้เกิดภาพของความขัดแย้ง อยากให้ลูกน้องมีความสุข และมีขวัญกำลังใจ เพราะเราโดนกระโทกกระแทกมา แต่ไม่อยากให้เป็นประเด็น ไม่อยากให้ท่านนายกฯกระทบด้วย


ก่อนจะบอกว่า ท่านนายกฯขยันจะตาย ท่านไม่ได้หยุดเลยวันเสาร์-อาทิตย์ ทำงานทุกวัน จึงไม่อยากให้อยากเอาเรื่องพวกนี้ไปให้ท่านไม่สบายใจ และตนก็ไม่สบายใจ จึงตัดสินใจไปพบนายกฯ


ซึ่งคดีทั้งหมดจากนี้ ให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. เราจะไม่เป็นเครื่องมือของใคร เราจะเป็นเครื่องมือของพี่น้องประชาชน


ตนอยากทำงาน เพราะเหลือเวลาอีกแค่ 194-195 วัน (หากนับเวลาจริง 20 มี.ค. - 30 ก.ย.67 คือ 195วัน) เข้าสู่การนับเวลาถอยหลัง ซึ่งตนอยากทำทุกวันให้ดีที่สุด

-------------

จากนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เรื่องเดิมเรื่องเก่าเราต้องไม่พูดคุยแล้ว เราต้องเดินหน้าทำงานให้ประชาชนอย่างเดียว วันนี้ ผมเองก็ต้องทำงานช่วย ผบ.ตร. ทำงานขับเคลื่อนอย่างเดียว และการที่นัดแถลงครั้งนี้ ก็เพื่อแสดงให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่า จากนี้ไป จะไม่มีความขัดแย้งใด ๆ ทั้งสิ้น จะไม่มีโซเชียลมีเดียใด ๆทั้งสิ้น และสื่อมวลชนก็ต้องช่วยด้วยเช่นกันกัน


ทั้งนี้ ผบ.ตร.เอง ก็ มีแนวคิดชัดเจนมั่นคง ในการรับนโยบายจากนายกรัฐมนตรีว่าจะนำพาองค์กรให้มีความสามัคคี และทำงานให้ประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้สังคมเชื่อมั่นว่า เราไม่มีความขัดแย้ง ซึ่งต้องเริ่มจากการแถลงข่าว ให้สัญญาณประชาชนแล้วว่า วันนี้ เวลานี้ เราเริ่มสตาร์ทแล้ว เพราะฉะนั้น ความสุขความสามัคคี ตำรวจที่ทำงานต้องมีความสุข

ทุกคนก็เป็นลูกน้องของ ผบ.ตร. ยกตัวอย่างเช่น ตนก็ต้องกินข้าวกับ ผบ.ตร.ทุกวันจันทร์-พุธ-ศุกร์ ท่านอยู่ที่ไหนก็ต้องขอไปกินกับท่าน แบบนี้แสดงว่าเป็นน้อง


จากนั้น ผู้สื่อข่าวพยายามขอให้มีการแสดงความจริงใจรักใคร่กัน จึงทำให้เกิดเสียงหัวเราะในห้องแถลงข่าว ผบ.ตร. ตอบว่า เราไม่จำเป็นต้องมากอดกัน เพราะเคยบอกกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า ความจริงใจ หากขาดจากตนไป หาจากคนอื่นไม่ได้เกินร้อยเท่าตน แม้แต่การเตือนให้ไปปฏิบัติธรรม หรือการลดอีโก้ลง รวมถึงการจะมีหนังสือต่าง ๆ ตนก็คุยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก่อน ไม่เคยคิดจะข้ามหัวข้ามห่างกันเลย ก่อนกล่าวติดตลกว่า ทีหลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็อย่าเรียกใครมา


พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ย้ำอีกว่า เวลาเราแสดงสัญลักษณ์เหมือนเราขัดแย้งกัน การมานั่งแถลงพูดคุยกันแบบนี้ เราไม่มาพูดมุสา ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ไม่มีอะไรติดใจ เราอยากให้ข้าราชการตำรวจทุกคนมั่นใจว่า “พี่รักลูกน้อง” และยืนยันว่า ไม่ได้มีอะไรกันเลย


ส่วนการรับประทานอาหารร่วมกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ก็มีการรับประทานร่วมกันมาเรื่อย ๆ แต่สื่อไม่เห็น ประชุมก็ทานร่วมกัน งานเลี้ยงก็ทาน งานเลี้ยงสื่อ งานแต่ง ก็เจอกัน


ในช่วงท้าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนอยู่ในสังคมตำรวจมา ซึ่งเห็นมาหลายครั้ง ที่นายทะเลาะกันไม่ใช่เพราะนาย แต่เป็นเพราะลูกน้อง ขออย่ามองที่ตัวนาย ขอให้มองภาพรวมขององค์กร สตช.


คำว่า ข้าราชการ มาจาก ข้าในพระราชา ในการบำบัดทุกข์บำรงสุข ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายตำรวจทุกคนเป็นลูกน้องตน


แม้แต่ลูกน้องของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ จะโดนย้าย ตนก็เป็นคนสั่งไม่ให้ย้าย เพราะไม่ได้มีความผิดอะไร และปกป้องมาตลอด ทุกอย่างต้องยุติ กองเชียร์จะต้องเข้าใจสถานการณ์ หากยังทำตัวแบบนี้ จะเป็นการทำลายองค์กร ทุกอย่างมีกรรม และท่านกำลังทำกรรมต่อสำนักตำรวจแห่งชาติ และเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายต้องหยุด เพื่อองค์กรขับเคลื่อนต่อไปได้  พร้อมยืนยันว่า การแถลงครั้งนี้ไม่ใช่ สตช. การละคร


จากนั้น นักข่าวถามฝั่ง 'บิ๊กโจ๊ก' ว่า เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผบ.ตร. ให้ใจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ใจ ผบ.ตร. และพนักงานสอบสวนกี่เปอร์เซ็นต์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจากการให้ดำริของ ผบ.ตร. ไม่ใช่การมาขอต่อรอง หรือขอความเมตตา เพราะ ผบ.ตร. เห็นถึงความสำคัญภายในองค์กร จึงนำมาสู่การบอกให้ตนเองไปพบนายกรัฐมนตรี


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า วันนี้ ไม่ว่าอย่างไร ตนก็ต้องเทใจให้ ผบ.ตร. เกินร้อย เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดจากการที่ ผบ.ตร. ดำริ และพนักงานสอบสวนทั้งหมดคือลูกเล็กเด็กแดงที่ทำหน้าที่ พร้อมย้ำว่า "ทุกอย่างเมื่อจบแล้วก็ต้องจบ" และคนเหล่านี้ก็คือลูกน้องตนเหมือนกัน และต้องไม่คิดเป็นอย่างอื่นเมื่อเดินหน้าแล้ว จะต้องไม่คิดย้อนหลังอีก


การทำงานจากนี้เป็นต้นไป จะต้องมีแต่เรื่องงานเพื่อประชาชน เพื่อชาติบ้านเมืองเพียงอย่างเดียว ยืนยัน ไม่มีเอาคืนกับพนักงานสอบสวนที่ทำสำนวนคดีตนเอง เพราะไม่เช่นนั้นจะถูกนายกรัฐมนตรีตำหนิ และสังคมมองว่าตนก็ยังเป็นคนเดิม


ส่วนตัวเหลืออายุราชการ 7 ปี (หากนับตามจริงบิ๊กโจ๊กจะเหลือเวลาราชการ 6 ปี 53 วัน (20 มี.ค. 67 - 30 ก.ย. 73) วันนี้ ทุกอย่างจึงต้องให้อภัย เพราะการเป็นผู้บังคับบัญชาต้องรู้จักเสียสละ และให้อภัย


มื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการเปิดใจคุยกันหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ เราโทรคุยกันตลอด แต่เนื่องจากงานใน ตร. เยอะ เมื่อมีการหารือ ประชาชนก็จะมั่นใจ และไม่ต้องคิดอะไรเยอะ


เชื่อมั่นว่า วันนี้เป็นก้าวแรก ที่จะต้องขับเคลื่อนตามคำสั่งของ ผบ.ตร. และที่สำคัญนักข่าวก็สามารถตรวจสอบได้ว่า จบจริงหรือไม่จริง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ไม่สามารถปิดบังได้ เมื่อจบวันนี้ เราก็ต้องทำงานเพื่อขับเคลื่อนงานกันอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้รัฐบาลเอาผลงานของ ตร. ไปแถลงเป็นนโยบายของรัฐบาล


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การแถลงข่าวในครั้งนี้จะเป็น สตช. การละครหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หัวเราะ พร้อมยืนยันว่า ไม่มีอีเวนต์ เพราะเราต้องจริงใจ เมื่อมานั่งแถลง จะต้องไม่มีอีเวนต์ เพราะถ้าเป็นอีเวนต์ หลังจากนี้ ก็จะไม่มีใครเชื่อมั่น ตนเอง และ ผบ.ตร. ในฐานะดูแล สตช. มานั่งแถลงในวันนี้ ลูกน้องก็ดีใจ ฉะนั้นเราต้องทำให้พวกเขาทำงานอย่างสบายใจ


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อธิบายถึงการถูกออกหมายเรียกล่าสุด ข้อหาสมคบฟอกเงิน ซึ่งออกหมายโดย สน.ทุ่งสองห้อง ว่า  ตามกฎหมายล่าสุด ผบ.ตร. มีนโยบายส่งสำนวนทุกเรื่องให้ ป.ป.ช. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม


ส่วนการออกหมายเรียกข้อหาสมคบฟอกเงิน ซึ่งออกหมายโดย สน.ทุ่งสองห้อง ขอเรียนว่า ตอนนั้น ตนอยู่ที่ จ.เชียงใหม่


แต่วันนี้ หลักการรับหมายตาม ป.วิอาญา เจ้าตัวต้องรับหมาย หรือพ่อ แม่ และญาติรับ จะไปฝากไว้กับเด็กที่บ้านไม่ได้ ดังนั้น วันนี้ ตนยังไม่ได้รับหมายเรียก กระบวนการครับป๋ายังไม่เริ่ม ส่วนที่เรียกไปวันไหนนั้น ตนยังไม่รู้ เพราะยังไม่เห็นหมาย เห็นแต่ในข่าวว่า วันที่ 21 มี.ค.67


ส่วนลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะมีการถอนฟ้องพนักงานสอบสวนที่ทำคดีเว็บพนันมินนี่ด้วยหรือไม่นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า เดี๋ยว ผบ.ตร. เรียกมาคุย ก็จะถอนฟ้องกันหมด เรื่องก็จบแบบลูกผู้ชาย และหลังจากนี้ ใครที่ฟ้องใคร ก็จะเรียกมาเคลียร์ และถอนฟ้องกันให้จบ และให้เรื่องยุติไปเพราะเป็นตำรวจด้วยกันทั้งนั้น


สำหรับกรณี พล.ต.ต.นำเกียรติ แยกฟ้อง ผบ.ตร. นั้น ก็จะต้องถอนฟ้อง เพราะเมื่อคุยกันแล้ว ก็ต้องจบทั้งหมด เราเป็นตำรวจเราต้องมีวินัย เป็นนักเลงต้องชัดเจน ฉะนั้น เมื่อคุยกันจบทุกอย่างก็จบ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเจรจา และการพูดคุย เมื่อเราไม่คุยกันก็ไม่เข้าใจกัน ไปฟังจากที่อื่นมา


โดยย้ำว่า วันนี้ ทุกคนต้องเป็นลูกน้อง ผบ.ตร. เพียงคนเดียว เมื่อ ผบ.ตร. จบ ทุกคนต้องหยุด


ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการเปิดเส้นเงินใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ได้คุยกับ ผบ.ตร. ตั้งแต่เมื่อเช้า ไม่มีประเด็นไหนเลย มีเพียงประเด็นเดียวคือ ต้องการให้ความขัดแย้งภายใน สตช. ต้องยุติ เพื่อให้เกิดความสามัคคี และไม่มีความเข้าใจที่เคลือบแคลง และเดินหน้าทำงานให้ประชาชนเพียงอย่างเดียว


ส่วนจะถอนฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันชัดเจนว่า เมื่อ ผบ.ตร. เรียกมาคุยแล้ว ทุกคนก็ต้องถอนหมด และเราจะเหลือไว้ให้เกิดความระแวงกันทำไม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องจบ  และขอให้ทุกคนไม่ต้องระแวง โดยมี ผบ.ตร.เป็นหลักประกันอยู่แล้ว


ขณะที่ลูกน้องทั้ง 8 คน ที่ถูกไปประจำที่ ศปก.ตร. ก็จะยังต้องประจำอยู่ที่เดิม และเมื่อไหร่ที่พิจารณาถึงที่สุดเสร็จว่าให้กลับมาก็ว่ากันไป


แต่คดีก็ต้องว่ากันไปตามคดี ส่วนเรื่องที่ต้องเดินหน้าก็ต้องเดินหน้า หรือคดีที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. เมื่อชี้แจงได้ เรื่องก็จะจบไปเอง


สำหรับกรณีที่ทีมทนาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ พล.ต.ต.นำเกียรติ ออกมาเปิดตัวอักษรย่อนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเห็นว่า ไม่ได้ไปเอ่ยชื่อใคร ก็แปลว่าไม่มีตัวตน ส่วนไหนตรวจสอบเป็นคดีก็ว่าไป แต่องค์กรต้องเดินหน้าในการทำงาน เราพูดเรื่องขององค์กรเป็นหลัก


ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ถ้าเอ่ยชื่อมาเต็ม ๆ ให้ชัดเจน แต่ในทางลับ ก็สั่งให้ตรวจสอบแล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นคดี การที่ถามแบบนี้ กำลังจะทำให้เป็นประเด็น ทำให้องค์กรแตกแยก และเป็นการด้อยค่าองค์กร พี่น้องประชาชนกำลังรออยู่ พร้อมตั้งคำถามว่า ”พี่รักน้องทุกคน แล้วพวกน้องเคยรักองค์กรพี่ไหม เวลาที่เราจับยา ทำไมไม่มีใครมาถาม แต่กลับถามเรื่องแบบนี้ เพื่อด้อยค่าพวกพี่ พวกน้องไม่รักพี่เลยหรือ“ และขอให้องค์กรนี้เป็นที่เชื่อมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


เมื่อจบการแถลง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  ได้พุ่งเข้าไปก้มไหว้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็รับไว้ไหว้พร้อมตบไหล่เบา ๆ ก่อนทั้งคู่ จะออกมายืนหน้าโต๊ะแถลง เพื่อให้สื่อเก็บภาพ โดยช่วงนี้ บิ๊กโจ๊กโอบเอวบิ๊กต่อ บรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่น


ก่อนจะเดินเคียงคู่ พูดคุยกันยิ้มร่า ออกจากห้องแถลงข่าว ซึ่งบิ๊กโจ๊ เดินมาส่งบิ๊กต่อถึงลิฟต์ ก่อนไหว้ลาอีกรอบ แล้วไปประชุมงานต่อทันที

-------------



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/v8qpnuJVrsM

คุณอาจสนใจ

Related News