สังคม
ทีมทนาย 'บิ๊กโจ๊ก' แถลงโต้ ยันศาลอาญาไม่ได้ออกหมายเรียก ตั้งข้อสงสัย 'ดิสเครดิต' ก่อนเลือก ผบ.ตร.
โดย nattachat_c
13 มี.ค. 2567
69 views
ทีมทนาย “บิ๊กโจ๊ก” แถลงโต้ รอง ผบช.น. ยันศาลอาญาไม่ได้ออกหมายเรียก ชี้ เป็นอำนาจ พงส.อยู่แล้ว พร้อมบอกทำอะไรอย่าอ้างศาล ชี้ กระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระบุ เส้นทางการเงินและข้อเท็จจริงเป็นกรณีเดียวกันกับคดีที่ ป.ป.ช.มีมติรับเรื่องไว้ไต่สวนเองอยู่แล้ว แต่พยายามโยงให้เป็นเรื่องใหม่ – ตั้งคำถาม ทำไมถึงเกิดเรื่องช่วงนี้ เชื่อเป็นการ “ดิสเครดิต” ทำลายชื่อเสียง แคนดิเดต อาวุโสอันดับ 1 ที่จะถูกแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.
วานนี้ (12 มี.ค.67) ที่ ศาลอาญา รัชดาภิเษก พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น. เดินทางมายื่นคำร้อง ขอออกหมายจับกลุ่มนายตำรวจระดับสูง ในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตามที่สมคบกัน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 9, 10
เนื่องจาก การสืบสวนสอบสวนเส้นเงินที่เชื่อมจากคดีที่ สน.เตาปูน ได้เคยขออนุมัติหมายจับ คดีเว็บการพนัน ที่ 4543-4547/2566 ของศาลอาญา ไว้แล้ว
โดยต่อมา ได้จับกุมตัว ผู้ต้องหาบางคนได้ และมี นางพิมพ์ (ชื่อสมมติ) เป็นผู้จัดการเว็บ BNKMaster จึงมีการมาขยายผล เเละมาร้องขอออกหมายจับ ในครั้งนี้
-------------
ต่อมา เวลา 14.30 น. ภายหลังยื่นคำร้อง พล.ต.ต.ทินกร ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าว
โดยยอมรับว่า มีการขอออกหมายจับกลุ่มนายตำรวจพัวพันเว็บพนันจริง โดยวันนี้ ศาลอนุญาตออกหมายจับ ผู้ต้องหาจำนวน 4 ราย
- เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ราย
- พลเรือน 1 ราย
ส่วน นายตำรวจอีก 1 นาย ให้ออกหมายเรียกก่อน เเต่ไม่ขอระบุว่าเป็นใคร
พร้อมยอมรับว่า ในส่วนนายตำรวจที่ถูกออกหมายเรียก เป็นนายตำรวจระดับนายพล พร้อมระบุว่า การมาขอออกหมายจับครั้งนี้ ไม่กดดัน เพราะทำตามกฎหมาย
-------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการยื่นขอออกหมายจับ เมื่อวานนี้ มีข่าวว่า ผู้พิพากษาศาลอาญามีการประชุม ก่อนมีคำสั่ง พบว่า เส้นทางการเงินโยงถึงผู้ต้องหาทั้ง 5 คน จึงอนุญาตออกหมายจับ 4 คน เอี่ยวเว็บ BNKMaster แต่เนื่องจาก มี 1 ราย เป็นข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับ พล.ต.อ. จึงให้ออกหมายเรียกแทน
โดยจากการตรวจสอบ พบว่า เว็บพนันนี้เป็นเว็บที่ทำกำไรเงินหมุนเวียนหลักหลายล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้หมายจับศาลอาญา บุกจับนางพิมพ์กับพวก พร้อมของกลาง รวมทั้งสมุดบัญชีอีกหลายเล่ม
ซึ่งเป็นบัญชีที่ใช้บริหารจัดการเว็บ และ มีเส้นเงิน (คาดว่าเป็นกำไร) โอนเข้าให้พ่อบ้านของนายตำรวจใหญ่ ซึ่งพ่อบ้านนั้น ถูกแจ้งข้อหาฐานสมคบกันฟอกเงิน และฟอกเงินฯ ไปแล้ว
-------------
ทั้งนี้ มีรายงานว่า จากการตรวจสอบเส้นเงินของบัญชีม้าอีกราย ที่พ่อบ้านใช้ พบว่า เส้นเงินเชื่อมไปยังค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่น ๆ หลากหลาย ทั้งบุคคลในครอบครัวและของตนเอง หลักหลายล้านบาท ตามที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว นายตำรวจคนดังเคยให้สัมภาษณ์ไว้
ทั้งมี กรมธรรม์ในหลายบริษัท หลายฉบับ ที่ออกมาจากเส้นเงินนี้ รวมทั้งเงินที่บริจาคเข้าวัด และออกใบอนุโมทนาบัตร ในงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน
จากเส้นเงินนี้ จึงล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว จำนวนมหาศาล แต่ยังไม่พบมีการโอนไปจ่ายแก่ตำรวจเช่นคดีอื่น แต่เป็นเส้นเงินส่วนตัว ครอบครัว และบริจาค
จากการสอบสวน ยังพบว่า เส้นเงินบัญชีม้าหญิง ที่พ่อบ้านถือนี้ เป็นเส้นที่ใช้จ่ายรองรับดูแลส่วนตัว เป็นค่าเครื่องบินให้กับชุดเจ้าพนักงาน ป.ป.ช. จำนวนหลายคน ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ ในขณะนี้ด้วย และ ยังพ่วงจ่ายค่าเครื่องบินให้แฟนของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ในเที่ยวบินนี้ด้วย ซึ่งเห็นว่าอยู่ในระหว่างสืบสวนของ บก.ปปป
ส่วนแฟนของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ที่พ่วงไปดังกล่าว ปัจจุบันพบว่า หลังจากกลับจากนั่งเครื่องเที่ยวบินจากเส้นเงินบัญชีม้าหญิงนี้แล้ว ได้บรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปัจจุบัน ทำงานอยู่เป็นนายตำรวจในกองบัญชาการแห่งหนึ่ง
ทั้งนี้ เส้นเงินที่พัวพันท่อน้ำเลี้ยงนี้ ไม่มีจ่ายตรงนายตำรวจคนดัง แม้แต่บาทเดียว แต่พบพยานหลักฐาน ที่เป็นการฟอกเงิน เพื่อปกปิดแหล่งที่มา โดยโอนจากเส้นเงินม้าหญิงนี้ ไปยังผู้อื่น วัด บริษัทต่าง ๆ หลายร้อยครั้ง รวมเกินกว่าสิบล้านบาท
รายชื่อออกหมายจับ
1.พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา
2.ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว
3.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร
4.นายณพรรษกรณ์ แหเกิด
----------------
จากกรณี ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก อนุญาตหมายจับ 3 ตำรวจ 1 พลเรือน คดีเว็บพนัน BNKMaster ส่วนตำรวจระดับสูงอีกราย ให้ออกหมายเรียกในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตามที่สมคบกัน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 10
ภายหลังมีกระแสข่าวดังกล่าว ทีมทนายความของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นำโดย ทนายณัฐวิชช์ เนติจารุโรจน์ และ ทนายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ นัดสื่อมวลชนแถลงข่าวทันที ที่โรงแรม ฮิลตัน แบงคอก แกรนด์ อโศก ในเวลา 17.00 น.
ทนายณัฐวิชช์ ชี้แจงว่า
ได้รับมอบหมายให้มาแถลงข้อเท็จจริง ในกรอบเฉพาะของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ส่วนท่านอื่นไม่ได้เป็นทนายความ หรือแต่งตั้งให้มาดำเนินการ
ก่อนจะระบุว่า จากการที่คณะพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้อง ขอหมายจับ 1 ในนั้นคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเฉพาะในกรอบคำสั่งของบิ๊กโจ๊ก ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้อง
ง่าย ๆ ก็คือ ไม่ออกหมายจับให้ตามที่พนักงานสอบสวนได้ร้องขอ โดยศาลได้มีดุลพินิจว่า ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับตามคำร้องได้
ในเรื่องนี้ จึงขอทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน และประชาชน เพิ่มเติมว่า นอกจากศาลไม่อนุมัติหมายจับบิ๊กโจ๊กแล้ว กลายเป็นว่ามีการเผยแพร่ทำนองว่า ศาลให้ออกหมายเรียก
ซึ่งทางทีมทนายความ และทีมคณะทำงานด้านกฎหมาย ได้ตรวจสอบแล้ว “ศาลไม่ได้มีคำสั่ง อย่างที่มีการเผยแพร่ และเข้าใจกัน“
ทางทนาย ยังระบุว่า
เมื่อศาลยกคำร้อง ในขั้นตอนที่จะดำเนินการต่อไป หากพนักงานสอบสวนยังคงเห็นว่าจะดำเนินการต่อไปอยู่ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตลอดจนข้อกฎหมายแล้ว เราเห็นว่า การที่พนักงานสอบสวนดำเนินการอยู่ ไม่ชอบด้วยข้อกฎหมายอย่างยิ่ง เพราะข้อเท็จจริงคือการกล่าวหาบิ๊กโจ๊กแล้ว ได้มีการส่งเรื่องไป ป.ป.ช. แล้ว และได้มีการรับเรื่องไว้ไต่สวนแล้ว ข้อเท็จจริงนี้ ได้มีการเผยแพร่ทางสื่อมวลชน โดย ปปช. เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ไปแล้ว
เมื่อมีการส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.แล้ว และมีมติรับเรื่องไว้แล้ว อำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้อยู่ที่ใคร ทางทีมทนายความได้ตรวจสอบแล้วว่า อำนาจในการพิจารณา และไต่สวนว่า พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์จะผิดหรือไม่ อยู่ที่ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ กล่าวถึงข้อกฎหมายว่า อำนาจอยู่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 30 ประกอบมาตร 28 แปลว่า อำนาจในการสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่พนักงานสอบสวนแล้ว หากพนักงานสอบสวน จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางทีมทนายความก็เห็นว่า ขั้นตอนที่จะดำเนินการต่อไปในเรื่องนี้ พนักงานสอบสวนไม่น่าจะมีอำนาจแล้ว
หากจะดำเนินการต่อไป ทีมทนายเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายในประเด็นปัญหา คือปฏิบัติหน้าที่ชอบหรือไม่ชอบ ตามมาตรา 157 อันนี้ คณะพนักงานสอบสวนต้องรับผิดชอบกันเอง เพราะทีมทนายได้รับมอบหมายจากพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ให้มาชี้แจง และ ”ยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตามที่มีการตั้งเรื่อง และกล่าวหา”
ส่วนคดีที่มีการส่งให้ ป.ป.ช. คือ คดีอาญาที่ 724 แต่คดีนี้ ได้ยื่นเรื่องคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับเป็นคดีอาญาที่ 391 ซึ่งได้ดูข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏว่า คดีที่ไปยื่นคำร้องต่อศาลครั้งนี้ เป็นข้อเท็จจริงอย่างเดียวกัน ที่ปรากฏอยู่ในสำนวนของ ป.ป.ช.
ในเรื่องนี้ ได้แจ้งต่อคณะพนักงานสอบสวนแล้วว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อ ปปช.มีคำสั่งรับไว้ไต่สวนแล้ว อำนาจของพนักงานสอบสวนจะดำเนินการต่อ เป็นไปตามมาตรา 30 ประกอบกับมาตรา 28
ซึ่งเห็นว่า การไปยื่นคำร้อง จนศาลมีคำสั่งว่า ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับให้ตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้อง และย้ำว่า ศาลไม่ได้มีคำสั่งให้ออกหมายเรียก ดังนั้น พนักงานสอบสวน หากจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อ ขอร้องอย่าอ้างศาล ว่าศาลเป็นผู้ออกคำสั่ง
ท่านจะทำอะไรต้องรับผิดชอบด้วยตัวของท่านเอง ทำไปแล้ว ผิดหรือไม่ผิด ท่านต้องวิเคราะห์เองเพราะท่าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่าเรื่องนี้ ท่านไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาอย่างแน่นอน
หากมีการทำขั้นตอนข้อใดข้อหนึ่ง ที่ท่านเห็นว่า ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ท่านก็มีสิทธิ์ที่ไม่ยอมรับในสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั้น และยืนยันว่า จะดำเนินการตามสิทธิ์ของท่านทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางแพ่ง หรือทางอาญา ที่พึงรักษาสิทธิ์ได้
ขณะที่ ทนายวราชันย์ กล่าวเสริมว่า
การที่พนักงานสอบสวน มีการยื่นศาลขอออกหมายจับคดีนี้ ซึ่งที่เป็นคดีที่มีความเกี่ยวพันกับคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติรับไว้แล้ว ถือว่าเป็นการกระทำอาจจะมีอำนาจในการสอบสวนที่แท้จริง และไม่มีอำนาจในการขอออกหมายจับได้
ทั้งนี้ ในเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันอยู่ว่า ศาลมีคำสั่งไม่ออกหมายจับ ตามที่คณะพนักงานสอบสวนดำเนินการขอออกหมายจับบิ๊กโจ๊ก เพราะไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะให้ศาลพิจารณาออกหมายจับได้
ทนายวราชันย์ กล่าวต่อว่า
ในส่วนของการให้ข่าวว่า ศาลมีคำสั่งให้ออกหมายเรียกแล้ว ขณะนี้ ทีมทนายความได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า "ศาลไม่ได้มีคำสั่งมีการออกหมายเรียกแต่อย่างใด" เพราะว่า อำนาจในการออกหมายเรียก เป็นของพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว การที่มีการให้ข่าวในลักษณะดังกล่าว ถือว่าเป็นการทำให้เกิดผลกระทบ หรือกระทบต่อศาล ที่ถือว่าเป็นองค์กรหลักในการพิจารณาการออกหมาย
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมอบหมายให้ทางทีมทนายความ เก็บรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิด ทุกอย่าง ที่ถูกเผยแพร่ออกสื่อมวลชน รวมถึงพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่จะสามารถรวบรวมได้ เพื่อนำมาใช้ในการปกป้องสิทธิ์ให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
และยังยืนยันว่า ข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริง พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง เส้นทางการเงินที่มีการกล่าวหาว่า มีเส้นทางการเงินพาดพิงถึงท่านไม่เป็นความจริง ท่านไม่เคยมีเส้นทางการเงินใดไปพัวพัน หรือเกี่ยวพันกับเว็บพนันออนไลน์
ส่วนเงินที่ส่งมอบให้ พ.ต.ท.คริษฐ์ นำไปใช้จ่ายในเรื่องต่าง ๆ ก็เป็นเงินของท่านโดยแท้จริง เงินที่ให้ พ.ต.ท.คริษฐ์ ไม่ได้รับมาจากเงินพนันแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงส่วนนี้ ที่มีการเผยแพร่ออกไปเป็นข่าว ทำให้ประชาชนเข้าใจ หรือเชื่อว่า พลเอกสุรเชษฐ์ มีความเกี่ยวข้องนั้น เป็นความเข้าใจในการสื่อสารจากข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่เป็นความจริง
จากนั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่พนักงานสอบสวนขอหมายจับในครั้งนี้ เป็นคนละสำนวนกับที่ ป.ป.ช.รับเรื่องหรือไม่
ทนายณัฐวิชช์ ย้ำว่า ทางทีมทนายยืนยันว่า เส้นทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นของ สน.เตาปูน ที่เป็นข้อกล่าวหาคนละเว็บกัน หรือคดีเว็บพนันมินนี่ เป็นกรณีเส้นทางการเงินเดียวกัน ไม่ใช่เส้นทางใหม่
ขณะที่ ทนายวราชันย์ เสริมว่า
พูดง่าย ๆ ทั้งสองเรื่องเป็นบัญชีเดียวกัน เพราะฉะนั้น เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. รับไต่สวน เพื่อพิสูจน์เส้นทางการเงินเส้นทางนี้แล้ว ไม่ว่าจะเจอระหว่างไต่สวน หรือไม่ ที่เงินไหลเข้ามา ทั้งหมดทั้งมวลเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. พิจารณา เรื่องเส้นทางการเงินทั้งหมด
ส่วนที่พนักงานสอบสวน พยามยื่นขอหมายจับ มองว่าจะมีมูล หรือไม่มีมูลในคดีนี้นั้น
ศาลซึ่งเป็นหน่วยงานพิจารณาหลัก ยังไม่อนุมัติหมายจับให้ นี่ก็เป็นคำตอบอย่างหนึ่ง ที่จะชี้ให้ทางสังคมเห็นว่า สำนวนที่ออกหมายจับไว้เกี่ยวข้องกับพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ยังไง
ทนายณัฐวิชช์ กล่าวเสริมว่า
รายละเอียดพวกนี้ก็มีข้อจำกัดที่จะชี้แจงหรือเปิดเผย เพราะอย่าลืมว่า เรื่องนี้ทางด้าน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ยังมีโอกาสเข้าให้การไต่สวนกับคณะพนักงานสอบสวนของ ป.ป.ช. มันเป็นการสรุปเรื่อง และโยง แล้วพยายามเอาข้อเท็จจริงที่อยู่ในองค์รวม แยกออกมา ให้ดูเสมือนว่าอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวน
แต่เรื่องทั้งหมดทั้งมวล ทีมทนายความยืนยันว่า มันอยู่ในกรอบเดียวกันที่ ป.ป.ช.รับเรื่องไว้แล้ว และไม่ได้มีเส้นทางการเงินใหม่ หรือเพิ่มเติมจากเส้นทางการเงินที่มีอยู่ในสำนวนของ ป.ป.ช. เพียงแต่มันมีการไปดึงบางช่วงบางตอน ให้ดูเสมือนว่าเป็นเรื่องใหม่
ทั้งนี้ ยืนยันว่า ตามข้อกฎหมายเรื่องนี้ทั้งหมดทั้งมวลที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ มันอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.ไปแล้ว
แต่ถ้ามีความพยายามดึงเรื่องออกมาให้ให้อยู่ในคอนโทรลของพนักงานสอบสวนหรือไม่ ท่านก็ต้องวิเคราะห์อีกที
ขณะเดียวกัน กรณีที่เกิดขึ้นวันนี้ เป็นการชี้ชัดอีกอย่าง การที่ไปตั้งเรื่องเป็นคดีอาญา และขอหมายจับ ศาลได้มีคำวินิจฉัยตรวจสอบแล้ว ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับ นั่นเป็นข้อชี้อย่างหนึ่งว่า ที่ท่านมีข้อสงสัยว่าเส้นทางการเงินมีไปถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือไม่ น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนได้ แต่จะมีทิศทางอย่างไรนั้น เราก็ต้องเคารพ
ส่วนกรณีข่าวที่ออกไปทำนองว่า ตำรวจจะดำเนินการออกหมายเรียกนั้น ขอยืนยันว่า อำนาจไม่ได้อยู่ที่พนักงานสอบสวนแล้ว แต่อยู่ที่ ป.ป.ช. แต่ตนไม่สามารถตอบได้ว่าทำได้หรือไม่ เรื่องนี้ต้องไปถามในส่วนของพนักงานสอบสวนว่า ยังยืนยันที่จะดำเนินการตามที่มีให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนหรือไม่ ซึ่งพนักงานสอบสวนต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน
ก่อนจะย้ำว่า ในเรื่องนี้ได้รับการมอบหมายจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ ซึ่งบอกว่า “หากมีการกระทบสิทธิของท่านในเรื่องนี้ ท่านยืนยันว่า จะใช้สิทธิ์ทุกช่องทางในการปกป้องสิทธิ์ของตนเอง”
เมื่อถามถึงว่าหากมองเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ในการพิจารณา แต่หากพนักงานสอบสวนระบุว่า กรณีนี้ต่างกรรมต่างวาระ ในฐานะทีมทนายความมองอย่างไร
ทนายวราชันย์ กล่าวว่า ตนมองว่า พนักงานสอบสวนก่อนจะยื่นขอออกหมาย น่าจะมีการพิจารณาอำนาจแล้วว่า สามารถทำได้หรือไม่ แต่ตนในฐานะทีมทนายความมองว่า พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจ
เมื่อถามย้ำว่า กรณีนี้ สามารถตีความแตกต่างกันได้หรือ
ทนายวราชันย์ ระบุว่า เป็นมิติการทำสำนวนของพนักงานสอบสวน ตนไม่ก้าวล่วง เป็นอำนาจดุลพินิจของท่าน แต่อย่างที่บอก เมื่อเรื่องนี้มีประเด็นทางกฎหมายที่เป็นข้อโต้แย้งกันอยู่ ก็เป็นสิทธิ์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่จะกล่าวอ้าง และยกขึ้นมาหักล้างได้
ส่วนกรณีที่มีการนำเสนอว่า บิ๊กโจ๊กถูกหมายเรียก เป็นการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่
ทีมทนายความ บอกว่า ตอนนี้เท่าที่เห็น ยังไม่มีคนที่นำข้อมูลรายละเอียดตรงนี้เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 100% ทีมทนายก็ฟังมาจากข่าวเช่นกัน แต่ต้องไปดูว่าใครให้ข่าว และเป็นการบิดเบือน ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรงหรือไม่
เมื่อถามย้ำว่า มีการตรวจสอบแล้วใช่หรือไม่ว่า ไม่มีการออกหมายเรียก เนื่องจากว่าคนที่ออกมาให้ข้อมูล ก็เป็นนายตำรวจระดับสูงเช่นกัน
ทนายณัฐวิชช์ ยืนยันว่า มีการตรวจสอบแล้ว แต่คนอื่นที่ให้ข้อมูลคนละส่วน และแตกต่างกัน ตนไม่สามารถตอบแทนได้ว่า ทำไมไปให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนเช่นนั้น
แต่ทีมทนายได้ตรวจสอบแล้ว ก่อนการขึ้นแถลง และเราคงไม่มั่ว หรือที่ท่านบอกว่าเป็นข้าราชการระดับสูง ได้ให้ข้อเท็จจริงทำนองนั้น อันนี้ผมตอบแทนไม่ได้
ช่วงหนึ่งของการแถลงข่าว ทีมทนายบอกว่า
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ให้ข้อมูลว่า “ทำไมเรื่องนี้จึงมาเกิดในห้วงเวลาอย่างนี้” ข้อเท็จจริงที่เผยแพร่ และมีการออกหมายจับพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ในช่วงนี้ ท่านและทีมทนายความ ก็เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเป็นการกระทำที่เป็นการดิสเครดิต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพราะท่านเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโสอันดับ 1 เป็นแคนดิเดตที่จะได้รับการพิจารณาแต่งตั้ง
การมาออกหมายจับช่วงนี้ ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง และมีผลต่อการพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในห้วงเวลาที่จะเกิดในไม่กี่เดือนนี้
นอกจากนี้ ทีมทนายความ ยังระบุด้วยว่า ในวันนี้ (13 มี.ค. 67) จะมีการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขอให้จับตาดูไว้ว่า จะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร
ขณะเดียวกัน ในวันนี้ (13 มี.ค. 67) มีการแจ้งหมายข่าวว่า เวลา10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง และงานจราจร และผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธี มอบโล่เกียรติคุณ “พลังสตรี ขับเคลื่อน ประเทศไทยก้าวหน้า” เนื่องในวันสตรีสากล (International Women’s Day) ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
----------------
เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 13 มี.ค.ที่ สน.เตาปูน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1064/2567 และ ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร หมายจับที่ 1065/2567 ในข้อหา “สมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน , เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน” โดยทั้งสองเป็นลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร .เดินทางเข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.คชภพ บุญอินทร์ สว.(สอบสวน) สน.เตาปูน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ ส.ต.อ.ณัฐวุฒิฯ พบพนักงานสอบสวนเสร็จสิ้น ได้หันมายิ้มให้กับผู้สื่อข่าว โดยไม่ตอบคำถามใด ๆ ก่อนทั้งคู่จะหลบออกทางประตูด้านข้างของโรงพัก และเดินขึ้นรถยนต์ส่วนตัวทันที
เบื้องต้น ทางพนักงานสอบสวนได้อนุญาตให้ประกันตัว โดยตีวงเงินสดประกันหลักทรัพย์ จำนวน 1 แสนบาท ก่อนอนุญาตให้ประกันตัว โดยจะนัดให้ผู้ต้องหาทั้งสองรายมาพบเพื่อนำตัวไปส่งฝากขังศาลอาญารัชดาในวันพรุ่งนี้ (13 มี.ค.) เวลา 13.00 น.ต่อไป
มีรายงานว่าสำหรับผู้ต้องหารายอื่น ๆ ยังไม่มีการประสานหรือติดต่อเข้ามอบตัวแต่อย่างใด
สำหรับ ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ ฯ และ ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ฯ เป็นผู้ถูกศาลอาญาออกหมายจับเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ รวม 4 ราย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ราย ประกอบด้วย พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา หมายจับที่ 1063/2567 ข้อหา “สมคบฯ ฟอกเงิน”
รวมถึง ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ ฯ และ ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ฯ ส่วนพลเรือนอีก 1 ราย คือ นายณพรรษกร (อู๊ด หาดใหญ่) หมายจับที่ 1066/2567 ลง 12 มีนาคม 2567 ข้อหา “สมคบฯ ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน”
------------
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/iWRTILwN6QQ