สังคม

เอาเรื่องถึงที่สุด! เซเลบสาวแจ้งจับหนุ่มไฮโซ ลวงพยายามขืนใจ เปิดวงจรปิด นาทีถูกฉุดกระชาก

โดย nattachat_c

13 ก.พ. 2567

5.6K views

เซเลบสาววัย 25 ปี แจ้งความดำเนินคดีลูกชายนักการเมืองดัง ยึดโทรศัพท์ ถือโอกาสตอนเมา หลอกว่าจะพาไปหาแฟนหนุ่มอีกร้าน แต่กลับพาไปบ้านพัก ฉุดกระชากพยายามบังคับข่มขืนใจ ฝ่ายหญิงวิ่งหนีออกจากบ้านถึง 3 รอบ แต่ยังถูกลากตัวกลับไปไม่มีใครช่วย สุดท้ายเจอเด็กชายวัย 13 ปี ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา เข้าช่วยเหลือ จึงรอดมาได้ ยืนยันจะเอาเรื่องฝ่ายชายให้ถึงที่สุด


จากกรณี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา เจ้าที่ตำรวจ สน.ประเวศ ได้รับแจ้งเรื่องจากหญิงสาวรายหนึ่ง คือ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี ว่า ถูก นายณพ (นามสมมุติ) ไฮโซหนุ่ม อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นลูกชายอดีตนักการเมือง ได้มีการล่อลวง และพยายามกระทำอนาจาร พร้อมกับมีการทำร้ายร่างกาย จนกระทั่ง ผู้เสียหายได้วิ่งหลบหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากพลเมืองดี โดยเหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 03.00 น. ณ บ้านพักหรู แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม.


โดยพฤติการณ์จากใบแจ้งความที่ น.ส.เอ เข้าแจ้งความ บอกว่า ตัวเองได้พบกับฝ่ายชายคู่กรณี ที่สถานบันเทิงหรูแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ


จากนั้น ฝ่ายชายได้ซักชวนไปนั่งที่โต๊ะร่วมกัน ชักชวนบังคับให้ดื่มสุรา และได้แย่งเอาโทรศัพท์มือถือไป หลังจากนั้น ได้บอกว่าจะพาผู้เสียหายไปส่งหาแฟนที่ร้าน ร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กัน และจะให้นั่งรถไปด้วยกัน หากไม่ไปด้วย จะไม่คืนโทรศัพท์ให้ น.ส.เอ จึงยินยอมนั่งรถไปด้วย


แต่ฝ่ายชายกลับพาไปที่บ้านที่เกิดเหตุ โดยบอกว่าจะแวะมาเอาของก่อน ในระหว่างถึงบ้านที่เกิดเหตุ ปรากฎว่า น.ส.เอ อาเจียน ซึ่งฝ่ายชายได้ให้ น.ส.เอ เข้าไปในบ้านเพื่อล้างหน้า


จากนั้น ฝ่ายชายได้กระทำอนาจาร น.ส.เอ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม


เมื่อ น.ส.เอ พยายามหลบหนี ฝ่ายชายได้ใช้กำลังหน่วงเหนี่ยวฉุดกระชากไม่ให้ น.ส.เอ กลับบ้าน ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ และฝ่ายชายได้ใช้กำลังฉุดกระชาก น.ส.เอ โดยจะพาเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุ จน น.ส.เอ ได้รับอันตรายแก่กาย และจิตใจ


เมื่อสามารถออกมาจากสถานที่ดังกล่าวแล้ว ได้พยายามขอความช่วยเหลือจาก รปภ.บริเวณใกล้เคียง แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ ทั้งยังบอกว่า ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้


น.ส.เอ จึงพยายามวิ่งหนี ทันใดนั้น มีพลเมืองดีขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ น.ส.เอ จึงอาศัยจักรยานยนต์คันดังกล่าวอออกจากบริเวณเกิดเหตุ


โดยการกระทำของฝ่ายชาย ที่ทำต่อ น.ส.เอ ทำให้ น.ส.เอ มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับฝ่ายชายตามกฎหมาย จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

-----------

วานนี้ (12 ก.พ. 67) ทีมข่าวได้ภาพกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ (4 ก.พ. 67) ซึ่งคาดว่า เป็นคลิปที่เกิดขึ้นบริเวณด้านหน้าบ้านของผู้ถูกกล่าวหา


โดยเป็นภาพช่วงเวลา 01.59 น. เป็นภาพขณะที่รถยนต์เลี้ยวเข้ามาจอด ก่อนที่ฝ่ายชายจะเดินลงมาจากรถ ส่วนฝ่ายหญิงลงไปนั่งกองอยู่ด้านหน้ารถอีกคัน ลักษณะคล้ายกับเมาแล้วอาเจียน ก่อนที่ฝ่ายชายจะประคองเข้าไปในบ้าน


ซึ่งหลังจากประคองแล้ว พอเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ฝ่ายชายจับมือฝ่ายหญิงเดินเข้าไป โดยช่วงนี้ มีรายงานว่า ฝ่ายชายพาฝ่ายหญิงไปล้างหน้า หลังจากที่อาเจียน


ก่อนที่ ในเวลา 02.21 น. ทั้งคู่เดินออกมาจากบ้านคุยกันตรงรถ เหมือนจะขึ้นรถ แต่สุดท้ายไม่ได้ขึ้น ก่อนที่ในเวลาต่อมา ทั้งคู่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกรอบ


จากนั้น กล้องวงจรปิดอีกคลิป เวลาประมาณ 02.57 น. จะเห็นได้ว่า ผู้เสียหายซึ่งเป็นฝ่ายหญิง ได้วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือ


ก่อนที่อีกคลิปหนึ่ง เป็นช่วงเวลา 03.12 น. จะเห็นได้ว่า มีฝ่ายชายฉุดกระชากฝ่ายหญิง จนฝ่ายหญิงล้มลงไปกับพื้นถึง 2 ครั้ง แต่ฝ่ายชายก็ยังไม่ยอมหยุดฉุดกระชากลากถูต่อ และพยายามลากฝ่ายหญิงกลับเข้าไปในบ้าน

---------------

ต่อมา วานนี้ (12 ก.พ. 67) เวลา 14.00 น. ที่ สน.ประเวศ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจ สายไหมต้องรอด พร้อมด้วย น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขา รมว.อว. ซึ่งรู้จักกับผู้เสียหาย ได้พาผู้เสียหายซี่งเป็นเซเลบฯสาว มาติดตามความคืบหน้าทางคดี


โดย น.ส.สุชาดา เล่าว่า ตนได้พาผู้เสียหายมายื่นเอกสารตรวจร่างกายจากทางโรงพยาบาลเพิ่มเติมให้กับเจ้าที่ตำรวจ ก่อนจะโชว์ภาพให้สื่อมวลชนดูว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ฟกช้ำทั้งบริเวณมือ หัวเข่า และข้อศอก


ซึ่งบาดแผลที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากผู้ก่อเหตุได้มีการฉุดกระชากลากผู้เสียหายให้กลับเข้าบ้าน หลังจากที่ผู้เสียหายพยายามวิ่งหนีขณะเกิดเหตุ


จากนั้น น.ส.สุชาดา เล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุว่า น.ส.เอ (นามสมมุติ) ไปเที่ยวแล้วพบกับคู่กรณีที่ร้านแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ โดยที่ผ่านมา ก็รู้จักกันในแวดวงสังคมอยู่แล้ว ก่อนที่จะถูกชวนให้มานั่งโต๊ะเดียวกัน จากนั้นก็ถูกฝ่ายชายยึดโทรศัพท์มือถือในลักษณะแกล้งกัน


พอตอนที่ น.ส.เอ จะกลับไปหาแฟนหนุ่มที่อยู่อีกร้านหนึ่ง ใกล้ ๆ กัน ฝ่ายชายหรือคู่กรณี ก็อ้างว่าจะพาไปด้วยตัวเอง แต่ปรากฏว่าพอขึ้นรถมา คู่กรณีกลับพาไปที่บ้านพัก ซึ่งเป็นคฤหาสน์หรูของผู้ก่อเหตุเอง ซึ่งพอรู้สึกตัวมาอยู่หน้าบ้านผู้ก่อเหตุแล้ว แต่รายละเอียดพฤติการณ์ ทั้งหมดอยู่ในสำนวน


น.ส.สุชาดา ยังเล่าว่า น.ส.เอ พยายามวิ่งหนีออกจากบ้านถึง 3 ครั้ง วิ่งหนีแบบตัวเปล่า รองเท้าไม่ได้ใส่ โทรศัพท์มือถือไม่ได้เอามา


โดย 2 ครั้งแรกนั้น ตัวผู้ก่อเหตุสามารถมาตามตัวได้ทัน และมีการฉุดกระชากลากถูจนเกิดบาดแผลตามตัว


แต่ครั้งที่ 3  ผู้เสียหายวิ่งออกมาถึงนอกหมู่บ้าน จนพบเจอกับมอเตอร์ไซค์ของพลเมืองดีที่เป็นเด็กชายอายุ 13 ปี จึงเข้าช่วยเหลือ และรอดมาได้


โดยทุกครั้งที่หนี น.ส.เอ พยายามที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ในส่วนประเด็นตรงนี้ ไม่อยากลงรายละเอียดมากนัก เพราะอยู่ในสำนวนของคดี และก็เข้าใจว่า อาจจะมีความเกรงใจลูกบ้านอยู่บ้าง


ส่วนกรณีเรื่องโทรศัพท์มือถือหลังจากวันเกิดเหตุ ทางผู้เสียหายได้เดินทางกลับมายังที่บ้านของผู้ก่อเหตุ เพื่อเอาโทรศัพท์คืน ก่อนที่พ่อของผู้ก่อเหตุจะเป็นคนเดินเอาโทรศัพท์มาคืนให้ และพูดจาประมาณว่า ทางฝั่งผู้เสียหายเป็นคนเอาโทรศัพท์ไปเอง ไม่ได้มีการซ่อนแต่อย่างใด


ส่วนประเด็นที่พ่อของคู่กรณีออกมาระบุว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง และยังกล่าวหาว่ากลุ่มผู้เสียหายเป็นแก๊งที่ทำลายชื่อเสียง และมีหลักฐานเตรียมดำเนินคดีกลับนั้น น.ส.สุชาดา กล่าวว่า ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลครอบครัวสำคัญกว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิง จนสามารถทำร้ายใครก็ได้เช่นนี้หรือ ตนมองว่าไม่ใช่ การที่ดื่มสุรายาเมา และจะสามารถไปก่อเหตุทำร้ายผู้อื่นได้ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล /ซึ่งฝั่งผู้เสียหายเองก็มีชื่อมีเสียง และมีฐานะเพียงพอ ไม่จำเป็นจะต้องไปดิสเครดิตเรียกเงินจากใคร


ทั้งนี้ ตนเชื่อมั่นในเรื่องกระบวนการยุติธรรมว่า จะสามารถเอาผิดกับผู้กระทำความผิดได้ หรืออย่างน้อยจะทำให้ผู้กระทำความผิดสำนึก และมากล่าวขอโทษยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น


ส่วนที่พ่อของผู้ก่อเหตุอ้างว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอและจะฟ้องร้องดำเนินคดีกลับนั้น น.ส.สุชาดา ระบุว่า เดี๋ยวไปว่ากันในชั้นศาล

--------------

ด้าน น.ส.เอ (นามสมมุติ) เผยว่า สภาพจิตใจยังไม่พร้อม และยังหวาดกลัว


แต่ครั้งนี้ ที่ออกมาแจ้งความ เพราะได้กลับไปทบทวนตัวเอง ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ไม่อยากให้มาเกิดซ้ำกับใครอีก จึงต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ตนเองเชื่อมั่นในกระบวนการของกฎหมาย


ช่วงหนึ่ง น.ส.เอ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ว่า “อยากขอบคุณพลเมืองดี ที่เป็นเด็กชายวัย 13 ปี ที่เข้ามาช่วยเหลือ เพราะหากไม่มีน้องพลเมืองดีคนนี้ ตนก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น


ส่วนประเด็นที่วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือ แต่ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ ส่วนตัวก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเข้าใจสถานการณ์ดี


ด้านนายเอกภพ เผยว่า

หลังจากที่ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย ได้มีการประสานงานไปยังพล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหาย ภายหลังทราบมาว่า ครอบครัวผู้ก่อเหตุก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่พอสมควร เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม


ในส่วนประเด็นที่ฝั่งผู้ก่อเหตุจะมีการแจ้งความกล่าวหาว่า ผู้เสียหายทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงนั้น ตนขอถามกลับไปว่า “ชื่อเสียงของคุณมันสำคัญมากกว่าผู้หญิงเหรอ มันสำคัญมากกว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคน ๆ หนึ่งเหรอ เขาบาดเจ็บโดยการกระทำของคนของคุณ แต่คุณกลับเอามาพูดว่า จะแจ้งความกลับ เหตุทำให้เสียชื่อเสียง”

-------------

ส่วนความคืบหน้าทางคดี พ.ต.อ. นิภพล สุขนิยม รอง ผบก.น.4 และ พ.ต.ท.พีรวัฒน์ สุขรมย์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ประเวศ เผยว่า


หลังรับแจ้งความ ได้ส่งผู้เสียหายไปตรวจร่างกาย พร้อมสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้ ยังคงเหลือพยานอีก 1 ปาก คือ พลเมืองดีที่เป็นผู้พาผู้เสียหายออกจากที่เกิดเหตุ ขณะนี้ มีพยานหลักฐานครบแล้ว โดยเบื้องต้น การกระทำเข้าข่ายความผิด ทำร้ายร่างกาย หน่วงเหนี่ยวกักขัง และอนาจาร


โดย วานนี้ (12 ก.พ. 67) ได้ออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหา ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว แต่เหตุที่ไม่สามารถออกหมายจับได้ เนื่องจากอัตราโทษทางคดีสั่งจำคุกนั้น ไม่เกิน 3 ปี และผู้ก่อเหตุมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง


ขณะเดียวกันยังพบว่า ผู้ก่อเหตุได้ติดต่อมาหาตำรวจแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดใดทางคดี และยังไม่ได้ระบุว่า จะเข้ามาพบพนักงานสอบสวนเมื่อไหร่ 


ก่อนจะยืนยันว่า ตำรวจไม่มีความกังวล รวมถึงไม่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือมีบุคคลใดมากดดันการทำงาน

-------------

นอกจากนี้ มีรายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ ผบก.น.4 ดำเนินการตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว


เนื่องจากกรณีนี้ เป็นคดีอุกฉกรรจ์ และผู้ก่อเหตุมีชื่อเสียง และเกี่ยวข้องในแวดวงการเมือง จึงสั่งการให้ทาง บก.น.4 ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว  เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายต่อไป


เบื้องต้น ทีมข่าวได้รับข้อมูลว่า ไฮโซคนดังกล่าวเป็นอดีตตำรวจ สังกัด กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ซึ่งได้ลาออกจากราชการ เมื่อปลายปี 2566

--------------

ทีมข่าวได้ลงพื้นที่บริเวณใกล้กับจุดเกิดเหตุ  ได้คุยกับ รปภ. ของโรงแรมหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า


วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 03.00 น. ตนกำลังเข้าเวร และตรวจตราพื้นที่รอบ ๆ แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงกับผู้ชายทะเลาะกันเสียงดัง แต่จับใจความไม่ได้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ซึ่งได้ยินเสียงผู้หญิงชัดเจน และมีบางช่วงที่ผู้หญิงกรี๊ด ตนจึงออกมาดู จากนั้น ก็ยังคงเห็นทะเลาะกันอยู่ จึงส่องไฟไปรอบ ๆ บริเวณ ทำให้ทั้งคู่เงียบไป


สักพัก ตนเห็นผู้หญิงเดินออกมาแล้วเดินอ้อมไปทางปากซอย แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นฝั่งผู้ชายเดินตามไปหรือไม่ และยืนยันว่า เห็นเดินออกมาแค่รอบเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เห็นเหตุการณ์แล้ว เพราะไปตรวจตราพื้นที่


เมื่อถามว่าฝ่ายหญิงได้ขอความช่วยเหลือไม่ รปภ.จุดนี้ บอกว่า ไม่มีการขอความช่วยเหลือแต่อย่างใด


ขณะที่อีกจุด รปภ.ใกล้ ๆ หน้าปากซอย ให้ข้อมูลว่า ในวันเกิดเหตุ มีผู้หญิงวิ่งเข้ามาหลบในป้อมยาม แล้วบอกว่าแฟนเป็นตำรวจ แล้วก็พูดแต่จับใจความไม่ได้ ตนก็ถามว่าเข้ามาได้อย่างไร ก่อนจะบอกให้ออกไป แล้วจากนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ออกไป โดยที่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ต่อจากนั้น ตนไม่ทราบ

-------------

ทีมข่าวช่อง 3 ได้สอบถามไปยัง นายอภิชัย เตชะอุบล หรือเสี่ยโต กรรมการบริหารพลังประชารัฐ เนื่องจากมีกระแสข่าวออกมาว่า 'ไฮโซหนุ่ม' คนดังกล่าว เป็นลูกชายของนายอภิชัย


นายอภิชัย เปิดเผยกับทีมข่าวของเราถึงกระแสข่าวว่า ไม่เป็นความจริง ไม่มีอะไร


ส่วนที่มีข้อมูลว่า นายอภิชัยได้นำโทรศัพท์ไปคืนให้กับหญิงคนดังกล่าวนั้น นายอภิชัย ยอมรับว่า ตนเป็นคนนำมือถือให้กับหญิงคนดังกล่าวจริง เพราะโทรศัพท์ถูกทิ้งไว้อยู่ในห้อง ยืนยันว่าไม่มีอะไร พวกนี้เป็นแก๊งทำลายชื่อเสียง เรารู้ดี เรามีพยานหลักฐานอยู่แล้ว และมั่นใจในพยานหลักฐาน


ขณะนี้ กำลังวางแผนจัดการ ยืนยันว่า เรื่องพวกนี้ไม่มีความจริงเลย และหลังจากนี้ ก็จะรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกลับ

--------------



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/TbJn_Cgll3M



คุณอาจสนใจ

Related News