สังคม

เพื่อนเล่าสลด สาว ป.เอก ตกตึกดับ พ่อแม่เปิดใจ ลูกเรียนดี-ส่งเสียครอบครัว ยันเอาเรื่องทุกคนถึงที่สุด

โดย nattachat_c

18 ธ.ค. 2566

69 views

จากกรณี ทวิตเตอร์ Red Skull โพสต์เรื่องราวของนิสิตปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วัย 27 ปี พลัดตกจากอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ภายในซอยลาดปลาเค้า 3 เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 66 ที่ผ่านมา เพราะตกใจที่สามีผู้จัดการอาคาร ขึ้นไปทุบห้องโวยวาย เพราะเข้าใจผิดว่า 'จอดรถทับที่'


เมื่อวานนี้  (17 ธ.ค.66)  นายสมชาย สีชำนาญ อายุ 60 ปี พ่อของ นางสาวอาภาพร สีชำนาญ หรือน้องเฟิร์น นักวิจัย ว่าที่ดอกเตอร์สาว เดินทางเข้าร้องขอความช่วยเหลือกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้ง เพจ สายไหมต้องรอด


นายสมชาย ระบุว่า ลูกสาวเป็นคนขี้ตกใจมาตั้งแต่เด็ก เวลามีเสียงดังอึกทึกมักจะตกใจมากกว่าคนปกติ ซึ่งช่วงที่ลูกสาวเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ชั้นปริญญาตรี ก็มาพักอาศัยอยู่ที่แมนชั่นแห่งนี้ จนจบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีและปริญญาโท  ปัจจุบันศึกษาอยู่ในชั้นปริญญาเอก ที่เหลือเพียงแค่การส่งชิ้นงานสุดท้าย และทำเรื่องจบการศึกษา ก็จะได้เป็นด็อกเตอร์ด้านงานวิจัย

--------------

คุณพ่อ บอกว่า เท่าที่ทราบจากเพื่อนลูกสาว ในวันเกิดเหตุนั้น ผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นสามีของผู้จัดการอาคารดังกล่าว กลับมาถึงเวลาประมาณ 04:00 น. แล้วเจอกับจักรยานยนต์คันหนึ่ง มาจอดทับอยู่ในช่องจอดรถของสามีผู้ดูแล จึงโมโห


เมื่อสอบถามกับแม่บ้าน แม่บ้านกลับบอกว่า จักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นของน้องเฟิร์น ผู้ก่อเหตุจึงบุกขึ้นไปโวยวาย ไปทุบประตูห้องพักน้องเฟิร์น ซึ่งจากการสอบถามคนที่รู้เห็นเหตุการณ์ ยังทราบว่า ชายคนดังกล่าว มีท่าทีคล้ายคนมึนเมาสุรา มีอาการโวยวายด่าทอ และมีการทุบประตูห้อง ซึ่งมีเพื่อนข้างห้องบันทึกเสียงในที่เกิดเหตุเอาไว้ทั้งหมด  


และในระหว่างเกิดเหตุ ลูกสาวตนได้แชทไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่พักอยู่ชั้น 3 อาคารเดียวกัน ซึ่งเพื่อนก็ยืนยันว่า ได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นจากด้านบนของอาคารเช่นกัน แต่เพื่อนไม่กล้าขึ้นมาช่วยห้าม เพราะเกรงว่าชายคนดังกล่าวอาจจะมีอาวุธ และคลุ้มคลั่งอยู่ เพื่อนจึงตัดสินใจลงไปที่ชั้นหนึ่ง เพื่อไปขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอาคาร  


แต่เมื่อเพื่อนของลูกสาวลงไปถึงชั้นล่าง และกำลังจะเดินไปขอความช่วยเหลือกับ รปภ. ก็เห็นร่างลูกสาวร่วงตกลงมา กระแทกทะลุหลังคาโรงจอดจักรยานยนต์ เสียชีวิตต่อหน้าต่อตา


พ่อบอกว่า หลังจากทราบเรื่อง ตนเองเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก และอยากให้ผู้ก่อเหตุออกมาแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะการกระทำที่ขาดสติโดยไม่ยั้งคิดของผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ ทำให้ตนเองต้องสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รัก และประเทศชาติต้องสูญเสียบุคลากรที่จะสามารถสร้างประโยชน์ต่อชาติไทยต่อไปในอนาคตได้อย่างมาก

--------------

ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ระบุว่า เบื้องต้น หลังได้รับฟังเรื่องทั้งหมด ตนเองก็อยากให้ทางตำรวจดำเนินการแจ้งข้อหา และดำเนินการทางคดีกับผู้ก่อเหตุรายนี้ให้ถึงที่สุด


เพราะหากผู้ก่อเหตุ ไม่กระทำในลักษณะการคุกคามแบบนี้ ก็เชื่อว่าน้องเฟิร์นจะไม่ต้องปีนตึกหนี จนพลาดพลัดตกเสียชีวิต  


หลังจากนี้ จะประสานไปที่ สน.โชคชัย ซึ่งเป็นเจ้าของคดี รวมถึงจะประสานไปที่รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ช่วยเข้ามากำกับดูแลคดีดังกล่าว และให้ความเป็นธรรมกับทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วย


หลังจากนั้น ทีมงานเพจสายไหมต้องรอดพา นายสมชาย พ่อของน้องเฟิร์น ไปที่อะพาร์ตเมนต์ที่เกิดเหตุ ในซอยลาดปลาเค้า 3  เพื่อติดต่อสอบถามเรื่องราวกับผู้จัดการอาคาร แต่ไม่พบใคร  


ส่วนสภาพที่เกิดเหตุ พบว่า มีการเก็บรวบรวมเศษกระเบื้องหลังคาที่แตก จากคืนวันเกิดเหตุ ไปใส่ถังพลาสติกไปวางที่หน้าทางเข้า และได้เปลี่ยนกระเบื้องแผ่นใหม่แล้ว


นายสมชาย พ่อของน้องเฟิร์น บอกว่า นาน ๆ ที ตนเองจะติดต่อกับลูกสาว ลูกไม่เคยเล่าว่าที่อะพาร์ตเมนต์นี้มีปัญหาอะไร และพ่อเพิ่งจะมาที่อาคารนี้เป็นครั้งแรก  


ส่วนตัวเชื่อว่า ลูกคงกลัวมากจนสติหลุด เพราะลูกเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้ว และตั้งแต่เกิดเรื่องก็ยังไม่มีใครติดต่อมา หากได้คุยกับคนก่อเหตุ ก็อยากรู้ว่าเจตนาแรกที่ตั้งใจขึ้นมาถึงห้องนั้นคืออะไร  เพราะพ่อคิดว่า เรื่องจอดรถทับที่ และไปเคาะผิดห้องคงเป็นข้ออ้าง อีกทั้ง ยังมีคำถามในใจว่า ทำไมระเบียงห้องจึงไม่ติดลูกกรงเพื่อความปลอดภัย

--------------

ต่อมา  นางสา อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นแม่บ้านดูแลอะพาร์ตเมนต์นี้มานานกว่า 10 ปี  เดินทางมาถึงที่อาคาร เมื่อรู้ว่าพ่อผู้เสียชีวิตมาที่เกิดเหตุ  ก็ตรงเขาไปหาพ่อทันที ก่อนจะให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่า


ผู้ก่อเหตุเป็นผู้เช่า ไม่ใช่สามีผู้จัดการอาคารตามที่เป็นข่าว และในวันที่เกิดเหตุนั้น ผู้ก่อเหตุเป็นคนโทรมาหาตนเอง บอกว่า มีคนจอดจักรยานยนต์ในที่ประจำของตัวเอง พร้อมกับอธิบายลักษณะของรถคันดังกล่าวให้ฟัง  ป้าสาที่งัวเงียรับสายก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า น่าจะเป็นของน้องที่พักอยู่บนชั้น 6 และบอกกับผู้ก่อเหตุว่าจะบอกให้เจ้าของรถมาย้ายที่ให้ แต่ผู้ก่อเหตุปฏิเสธ และบอกว่าจะขึ้นไปตามด้วยตัวเอง จากนั้นก็เกิดเหตุสลดขึ้น

--------------

ด้านรายการ ลุยชนข่าว ช่อง 8 ได้สัมภาษณ์ป้าสา โดยป้าสาได้เล่าว่า จริง ๆ แล้ว รถที่ไปจอดทับที่ผู้ก่อเหตุ คือรถของอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ชั้น 7 และเคยมีปัญหากับผู้ก่อเหตุมาก่อน แต่เนื่องจากป้าบอกผิดว่า เป็นห้องชั้น 6 ทำให้ผู้ก่อเหตุขึ้นไปหาเรื่องน้องเฟิร์น  


ซึ่งป้ากำลังจะกดโทรศัพท์ไปหาน้องเฟิร์นเพื่อถามว่า ใช่รถเฟิร์นหรือไม่ แต่มีอีกสายเข้ามาก่อน เป็นคนที่อยู่ชั้น 6 โทรมาแจ้งว่า มีคนมาอาละวาดโวยวาย ป้าจึงรีบมาที่อะพาร์ตเมนต์ แต่ก็ไม่ทันการ น้องเฟิร์นตกลงมาเสียชีวิตแล้ว


ป้าสา บอกว่า ตนเองในฐานะที่ดูแลหอพักนี้  รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ก่อเหตุ ทางผู้ก่อเหตุเองก็สำนึกผิดกับเหตุที่เกิดขึ้น ถึงกับร้องไห้ และไปจุดธูปขอขมา ในเช้าวันถัดมา


หลังเกิดเรื่อง เจ้าของหอพักได้สั่งให้ผู้ก่อเหตุ และครอบครัว ย้ายออกทันที ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือให้หลบหนี แต่เพราะถือเป็นบุคคลอันตราย


ป้าสา ยังบอกอีกว่า ปกติแล้วผู้ก่อเหตุไม่ใช่คนอารมณ์รุนแรง แต่คงจะมึนเมามาก จึงทำไปโดยขาดสติ กระทั่งเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


หลังจากนี้ทางหอพัก จะช่วยเหลือเยียวยาด้านค่าทำศพให้ ส่วนหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิด ยืนยันว่ามีครบถ้วน และได้มอบให้ตำรวจไปหมดแล้ว


นอกจากนี้ ป้าสา ยังยืนยันอีกว่า ปกติแล้วหอพักแห่งนี้ จะไม่มีการล็อกที่ไว้ให้สำหรับจักรยานยนต์คันใดคันหนึ่ง แต่รถของผู้ก่อเหตุมีขนาดใหญ่ และจอดตรงจุดดังกล่าวเป็นประจำ ทำให้ลูกบ้านคนอื่นต่างรู้กันดีว่า ที่ตรงนี้ใครมักจะมาจอด ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหา หรือมีปากเสียงเรื่องที่จอดกับใคร

------------

ทางด้าน คุณพ่อของน้องเฟิร์น บอกว่า สิ่งที่ผู้ก่อเหตุพูด ก็เป็นสิทธิของเขา ส่วนที่เขาจะเอาพานพุ่มมาไหว้ขอขมาน้องนั้น ก็เป็นสิทธิที่ทำได้เช่นกัน  แต่เป็นเพียงทำให้ตัวเองพ้นผิด ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นมา ต้องดูที่เจตนาว่าวันนั้น เขามีเจตนาร้ายแรง เพราะเรื่องมันไม่ควรจะไปถึงตรงนั้น  จนต้องมีการสูญเสีย


ส่วนจะติดต่อมาขอโทษทางครอบครัวนั้น ก็คุยได้ แต่จะให้อภัยหรือไม่นั้น พ่อเองก็พูดไม่ได้ พ่อก็ยังรู้สึกหดหู่ เสียใจ อยู่ดี ๆ จะมาพูดว่า ขอโทษนะที่ทำให้ลูกตาย มันก็ไม่ใช่ ตนเองอยากให้ดำเนินคดีตามกฎหมายให้สาสมที่ทำผิด


ขณะที่มีรายงานแจ้งว่า พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ได้สอบปากคำชายที่อาละวาดแล้ว ทราบเรื่องว่า คืนวันเกิดเหตุ ชายผู้ก่อเหตุกลับมาจากทำงาน  แล้วจะจอดจักรยานยนต์ในที่ของตัวเองหน้าอะพาร์ตเมนต์  แต่มีผู้อื่นมาจอดรถทับที่ตัวเองไว้ คนก่อเหตุเลยสอบถามกับแม่บ้านประจำตึก แต่แม่บ้านบอกห้องผิด ทำให้ชายคนนี้ขึ้นไปอาละวาด เบื้องต้นแจ้งข้อหา พยายามบุกรุก, ทำให้เกิดเหตุอึกกะทึกคึกโคม และ ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว


ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กล้องวงจรปิดของอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ มีทั้งหมด 16 ตัว ติดตั้งไว้ทุกชั้น และรอบหอพัก ซึ่งหากกล้องทำงานปกติ จะจับภาพที่ทางเดินหน้าห้องของทุกชั้น รวมทั้งหน้าห้อง 604 ที่น้องเฟิร์นอาศัยอยู่ด้วย รวมทั้งจะเห็นบริเวณที่น้องเฟิร์นตกลงมาด้วย  


ซึ่งทางตำรวจได้ยกเซิร์ฟเวอร์กล้องไปทั้งหมดแล้ว แต่ทางผู้ดูแลของอะพาร์ตเมนต์ เปิดเผยว่า จริง ๆ แล้วเซิร์ฟเวอร์เสีย คือ ดูภาพผ่านกล้องได้แบบเรียลไทม์ แต่ไม่สามารถบันทึกเก็บภาพเอาไว้ได้ แต่ยืนยันว่า ทางอะพาร์ตเมนต์ไม่ได้มีเจตนาปกปิดเรื่องแต่อย่างใด และหลังเกิดเรื่อง ก็ได้ให้ช่างมาติดตั้งกล้องเพิ่ม และให้ช่างมาแก้ไขเซิร์ฟเวอร์แล้ว

-------------
ในระหว่างเกิดเหตุการณ์ ปรากฎว่า มีเพื่อนข้างห้องที่ตกใจเสียงดังตื่นขึ้นมา และอัดคลิปเสียงของผู้ก่อเหตุ ขณะที่มาก่อเหตุหน้าห้องน้องเฟิร์นได้ โดยในคลิปดังกล่าว พบว่า ผู้ก่อเหตุพูดจาหยาบคาย และพูดวกวนไปมา ท้าให้น้องเฟิร์นเปิดประตูห้องออกมา โดยพูดว่า “นี่กูอยู่หน้าห้องมึง ไอ้... มึงอย่าทำแบบนี้  จิตใจมึงโคตรทราม  มึงนักเลงใช่มั้ย ห๊ะ มึงออกมาดิ มึงนักเลง มึงออกมาเลย”


อีกหนึ่งหลักฐานสำคัญ คือ ช่วงระหว่างเกิดเหตุ น้องเฟิร์นแชทไปขอความช่วยเหลือกับเพื่อนที่พักอยู่ที่ชั้น 3 อาคารเดียวกัน  โดยในเวลา 03.59 น.น้องเฟิร์นโทรหาเพื่อน พูดคุยสั้น ๆ ราว 34 วินาที และพิมพ์บอกเพื่อนว่า “มีคนเคาะประตูห้องดังมาก” จากนั้นก็วิดีโอคอลอีก 4 วินาที และส่งข้อความไปถามเพื่อนว่า "มายัง" ด้านเพื่อนตอบกลับว่า "ได้ยินละ แป๊ปนะ"


จากนั้น เวลาประมาณ 04.03 น. น้องเฟิร์นส่งข้อความไปซ้ำอีกว่า "มันเคาะอยู่ทำไง จะปีนห้องแล้วนะ ห้องจะพังไหม" เพื่อนตอบมาว่า "กลัวมันมีอาวุธ แป๊ปนะ จะโทรหาตำรวจ จะลงไปหายาม เฟิร์นโทรหาพี่สา ใจเย็น ๆ นะ"


จากนั้น เวลา 04.08 น.น้องเฟิร์นก็ตกลงมา ซึ่งเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากเพื่อนส่งข้อความแชทสุดท้าย  ซึ่งในโทรศัพท์ของน้องเฟิร์น ยังพิมพ์ข้อความค้างไว้ ยังไม่ได้ส่งให้เพื่อนว่า เรวว (เร็ว)

-----------

วานนี้  (17 ธ.ค.66)  นายสมชาย สีชำนาญ อายุ 60 ปี พ่อของนางสาวอาภาพร สีชำนาญ หรือน้องเฟิร์น  นักวิจัย ว่าที่ดอกเตอร์สาว เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 3 เล่าเรื่องราวชีวิตของลูกที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควร ทั้งที่ใกล้จะเรียนจบ ใกล้จะได้เป็นบุคคลากรที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ


คุณพ่อสมชาย เล่าว่า ตั้งแต่เล็ก ลูกสาวเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน  ขยันทำงานหาเงินช่วยทางครอบครัวมาโดยตลอด ตั้งแต่เด็ก สมัยที่อยู่จังหวัดลพบุรี ก็จะออกไปช่วยขายของกับตาและยาย  


จากนั้น พ่อแยกทางกับแม่ ในช่วงที่น้องอายุได้ 6 ขวบ แต่พ่อก็จะคอยติดต่อ ถามสารทุกข์สุกดิบลูกสาวมาโดยตลอด  


เมื่อลูกสาวเข้ามาเรียนต่อในระดับชั้นอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ตนเองก็จะคอยโทรพูดคุยสอบถามว่า ต้องการให้ช่วยเหลือสิ่งใดหรือไม่ แต่ลูกสาวบอกกับพ่อตลอดว่า ได้เงินทุนเรียนตั้งแต่ชั้นปริญญาตรี จนมาเรียนต่อชั้นปริญญาโทก็ยังคงได้ทุนเรียนฟรีอยู่ ซึ่งเมื่อจบการศึกษาก็เข้าทำงานในมหาวิทยาลัย


ลูกสาวยังเคยบอกกับพ่อว่า อยากมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อ ซึ่งพ่อก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าเรียนมาจนถึงชั้นปริญญาโทก็สูงมากแล้ว ก่อนที่พ่อจะมารู้ความจริง เมื่อลูกสาวประสบเหตุเสียชีวิตว่า ลูกสาวเรียนอยู่ในระดับชั้นปริญญาเอก ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการทำโปรเจ็กต์จบ และเมื่อส่งงานชิ้นสุดท้าย ก็สามารถทำเรื่องจบ และเป็นด็อกเตอร์ได้ในทันที


พ่อบอกว่า ตลอดชีวิตลูกสาวไม่เคยสร้างความลำบากใจให้กับทางครอบครัว  เป็นคนขยัน อดทน เรียนดีมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยมีปัญหาให้ตนเองและญาติพี่น้องต้องกลุ้มใจ  เรื่องการไปเที่ยวตามสถานที่บันเทิงต่างๆก็ไม่เคยเห็นว่าลูกสาวจะชอบไปเที่ยวสถานที่เหล่านั้น  กลุ่มเพื่อนที่คบหากันก็เป็นคนตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีเช่นกัน


พ่อบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้น  ถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของครอบครัว เพราะตนเองก็เคยสูญเสียลูกคนหนึ่งไปเมื่อตอนอายุ 19 มาแล้วคนหนึ่ง และพอต้องมาเสียลูกสาวคนนี้ที่มีอนาคตไกล ก็ยิ่งเสียใจ


พ่อบอกว่า เคยถามลูกสาวว่า หากจบการศึกษาแล้วอยากทำงานอะไร ลูกสาวบอกว่า ต้องการรับราชการตามกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์ เพื่อจะได้นำความรู้ไปใช้ในการทำงาน สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ

--------------

วานนี้ (17 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตำบลลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เพื่อพูดคุยกับ นางอารีย์ ไวยศรี  แม่ของนางสาวอาภาพร สีชำนาญ หรือ น้องเฟิร์น


คุณแม่เล่าทั้งน้ำตาว่า น้องเฟิร์นถือว่าเป็นเสาหลัก เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว น้องเป็นคนเรียนเก่ง ขยัน อดทน  


แม่บอกว่า ตั้งแต่เด็ก น้องเฟิร์นได้รับทุนการศึกษามาตลอด และน้องยังรักงานศิลปะ วาดภาพเก่ง เงินเดือนที่ได้จากการทำงาน น้องเฟิร์นก็จะนำมาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระพ่อแม่


อย่างเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นวันเกิดของแม่ น้องเฟิร์นก็โอนเงิน 1 แสนบาท ให้กับแม่เป็นของขวัญวันเกิด  หรือวันเกิดแม่ปีที่แล้ว น้องก็โอนเงินให้แม่เป็นของขวัญ 1 แสนบาท เช่นกัน  


ที่น่าเศร้าคือ ก่อนจะเกิดเรื่องกับน้องเฟิร์น น้องสาวของน้องเฟิร์น เพิ่งตรวจพบว่า ป่วยเป็นมะเร็งที่ใต้โคนลิ้น ต้องรักษาด้วยการฉายแสง น้องเฟิร์นก็เอารถฟอร์จูนเนอร์ของตัวเอง มาให้ทางบ้านใช้ เพื่อพาน้องสาวไปหาหมอได้สะดวก ส่วนตัวน้องเฟิร์นอยู่กรุงเทพฯ ก็ขี่จักรยานยนต์ไปทำงาน เพราะกลัวว่าแม่กับน้องจะลำบาก


แม่บอกว่าตอนนี้ ทางบ้านยังมีภาระหนี้บ้านกว่า 2 ล้านบาท หนี้รถฟอร์จูนเนอร์ของน้องเฟิร์น และยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาน้องสาวของน้องเฟิร์นด้วย ซึ่งที่ผ่านมา น้องเฟิร์นดูแลทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง

-----------

นอกจากนี้ หลังเกิดเรื่องกับน้องเฟิร์น แม่ไปเก็บข้าวของของลูกที่อะพาร์ตเมนต์ดังกล่าว  มีแม่บ้าน และผู้ก่อเหตุ มาพบแม่ มายกมือไวห้ขอโทษ และบอกว่าเป็นการเข้าใจผิด


เนื่องจากในวันเกิดเหตุ  ผู้ก่อเหตุสอบถามแม่บ้านว่า รถของใครมาจอดทับที่ แม่บ้านก็บอกว่าเป็นรถของน้องเฟิร์น ทั้งที่รถคันนั้นเป็นของคนอื่น ทำให้ผู้ก่อเหตุโมโห บุกขึ้นไปถึงห้องน้องเฟิร์น


ซึ่งแม่มองว่า ผู้ก่อเหตุไม่ควรทำแบบนี้ ไม่ว่ากับน้องเฟิร์น หรือกับคนอื่น ทำให้แม่ต้องสูญเสียลูกสาวที่กำลังมีอนาคตยาวไกล ซึ่งแม่ยืนยันว่า จะดำเนินคดีทุกคนที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด ทั้งชายผู้ก่อเหตุ แม่บ้านที่สื่อสารจนเข้าใจผิด และเจ้าของอะพาร์ตเมนต์ที่ไม่ดูแลความปลอดภัย ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น  โดยทางเพื่อน ๆ ของน้องเฟิร์นได้ช่วยร้องเรียนไปที่เพจสายไหมต้องรอดแล้ว และในวันนี้ (18 ธ.ค. 66) แม่จะเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อขอความช่วยเหลือต่อไป

-------------

ส่วนน้องเฟม น้องชายของน้องเฟิร์น และเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว บอกว่า  


พี่สาวเป็นคนร่าเริง รักสัตว์ เป็นที่รักของครอบครัว และเป็นคนใจบุญ เพราะทุก ๆ ปี พี่สาวจะไปบริจาคเลือดให้สภากาชาดไทย ปีนี้ พี่สาวยังบอกกับแม่เลยว่า ยังไม่ได้บริจา คและจะหาเวลาไป  


ก่อนหน้าจะเกิดเหตุ พี่สาวกลับมาเยี่ยมบ้าน จากนั้นน้องเฟมก็ขับรถไปส่งพี่สาวที่กรุงเทพฯ ทุกอย่างก็พูดคุยกันปกติ ไม่ได้เล่าว่ามีเรื่อง หรือมีปัญหากับใคร


น้องเฟม บอกว่า พี่สาวเป็นเสาหลักของบ้าน นอกจากจะดูแลเรื่องต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว ยังส่งหลานเรียนด้วย หลังสูญเสียพี่สาว ทำให้ครอบครัวเสียใจมาก ยังทำใจรับกับความสูญเสียไม่ได้ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความเป็นธรรมกับพี่สาวด้วย


สำหรับงานสวดพระอภิธรรมศพ จัดที่วัดลำนารายณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี 3 คืน และฌาปนกิจน้องเฟิร์น เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีญาติพี่น้องมาร่วมไว้อาลัยส่งน้องเฟิร์นเป็นครั้งสุดท้ายจำนวนมาก

-------------

วานนี้ 17 ธันวาคม 2566  นายออย เพื่อนสนิทของ น.ส.เฟิร์น เปิดเผยกับทีมข่าวทางโทรศัพ์ว่า ตนเองเป็นเพื่อนกับเฟิร์น เรียนด้วยกันมา 10 ปี ตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะจบปริญญาเอกด้วยกัน ตั้งแต่มาพักอยู่ที่นี่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน


โดยวันเกิดเหตุ ตนเองได้รับโทรศัพท์กลางดึก (ช่วงเช้ามืด) ซึ่งเฟิร์นได้โทรหวังปลุกให้ตนเองตื่น ก่อนที่เขาพูดแบบกระซิบกระซาบเพียงสั้น 3 วินาที เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถจับใจความได้ ก่อนจะตัดสายทิ้ง คาดว่าเพื่อนกลัวคนที่อยู่ข้างนอกได้ยิน หลังจากนั้น ก็เป็นการพูดคุยกันผ่านแชทข้อความ โดยเฟิร์นกลัวเลยส่งข้อความให้ตนเองแทนว่า “มีคนมาเคาะห้อง ทำยังไงดี”


ซึ่งพอเพื่อนส่งข้อความมา ตนเองเลยพยายามหาทางช่วย ตอนนั้นคิดว่า ถ้าวิ่งขึ้นไป ถ้าผู้ก่อเหตุมีอาวุธก็จะเกิดอันตรายทั้งคู่ ตนเลยจัดสินใจวิ่งลงไป เพื่อตาม รปภ.เพื่อให้มาช่วยเหลือ และโทรแจ้งตำรวจ แต่จังหวะที่ลงไปหายามนั้น เฟิร์นก็ตกลงจากชั้น 6 แล้ว ในจังหวะนั้น ตนเองทั้งตกใจ และกลัวมาก หลังเกิดเหตุตนเองไม่ได้สังเกตเห็นว่า ผู้ก่อเหตุอยู่จุดนั้นหรือไม่


ส่วนประเด็นที่มีการพูดถึงเรื่องที่จอดรถนั้น ยืนยันว่า เฟิร์นมีไม่ได้จอดขวางคนอื่นแน่นอน และรถคันที่เป็นปัญหาก็ไม่ใช่ของเพื่อนด้วย


โดยนายออย เล่าต่อว่า ที่ผ่านมาเฟิร์นเป็นคนขยันทำงานหาเงิน และตั้งใจเรียน ไม่เคยมีเรื่องกับใคร และตนเองยืนยันว่า ไม่รู้จักกับคนก่อเหตุ ก่อนจะบอกเพิ่มเติมประเด็นที่เพื่อนเป็นคนที่กลัวง่าย (แพนิค) เพราช่วงวันลอยกระทงที่ผ่านมา มีการจุดพลุเสียงดัง น้องเฟิร์นได้โทรศัพท์มาหาด้วยความตกใจกลัวมาก


ขณะที่ ประเด็นของตำรวจที่มีการแจ้ง 3 ข้อหา แต่มันเบามาก ซึ่งผู้ต้องหาถูกเปรียบเทียบปรับก่อนกลับมาเท่านั้น ในเรื่องนี้ ตนไม่ขอวิพากย์วิจารณ์การทำงานของตำรวจ ตนเชื่อว่าตำรวจทุกนายทำงานสุดความสาทารถอยู่แล้ว คาดว่าถ้ามีหลักฐานเพิ่มเติม ตำรวจน่าจะสามารถแจ้งข้อหาได้มากกว่านี้

-------------

ต่อมา มีคนที่พักอยู่ชั้นเดียวกับน้องเฟิร์น ได้ออกมาให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า


ตนเองได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูห้องเสียงดังมากจนตกใจตื่น ทีแรกก็คิดว่าเขาคงเคาะเรียกเพื่อนกัน แต่มันดังขึ้น ๆ จนมั่นใจว่า ไม่ใช่เคาะเรียกเพื่อน และมีการพยายามจะให้น้องเปิดประตูด้วย


ซึ่งตนเองไม่ได้ยินเสียงน้องผู้หญิงตอบกลับออกมาเลย ได้ยินแต่เสียงผู้ชายเท่านั้นที่ตะโกนเสียงดัง หลังจากนั้น ตนก็ไม่รู้อะไรมาก เพราะผลอยหลับไป ก็คิดว่าเป็นแฟนที่ทะเลาะกัน


จนกระทั่งตอนเช้า มีคนมาเคาะห้องเพื่อปลุก จนได้ทราบว่าน้องที่อยู่ห้องข้าง ๆ เสียชีวิตแล้ว ส่วนความแข็งแรงของประตูนั้น มีแค่ลูกบิดที่ล็อก กับกลอนประตูด้านในเท่านั้น

-------------

ต่อมา ทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถาม ทนายเดชา กิตติวิทยนันท์ ทนายคลายทุกข์ โดยระบุว่า ข้อหาที่ตำรวจนั้นแจ้งมันเบาเกินไป ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็เคยมีฏีกาคดีในลักษณะเดียวกัน คือคนพยายามข่มขืน โดยผู้ตายยื่นอยู่ที่ระเบียง ซึ่งผู้ตายก็กลัวพยายามหนี แต่พลัดตกตึกไป ซึ่งคดีนี้ศาลพิพากษาเป็น 'การฆ่าคนตายโดยเล็งเห็นผล'    


ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับคดีนี้คือ ผู้ก่อเหตุไปเคาะห้องให้เกิดเสียงดัง พูดจาข่มขู่ในเวลากลางคืน ซึ่งผู้หญิงเขาก็คิดว่ามีอันตรายมาหา อาจจะถูกฆ่า หรือถูกข่มขืน จึงมีการพยายามเอาตัวรอด จึงปีนหนีทางด้านหลังจนพลัดตกลงมา


ซึ่งวิถีที่ทำให้เกิดความตายคือ ถ้าผู้ก่อเหตุไม่มาตะโกนขู่ ตุกคามหน้าประตู เขาก็ไม่กลัวจนตัดสินใจหนีแบบนั้น


โดยข้อหาหนักที่แจ้งเพิ่มได้คือ ฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยเล็งเห็นผล หลังจากนี้ ถ้าตำรวจไม่มีการแจ้งข้อหาเพิ่ม ก็อยู่ในดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน


แต่ในคดีนี้ ตนเองได้แนะนำให้ คุณเอกภพ เหลืองประเสริฐ ให้พาพ่อแม่ผู้ตายไปแจ้งความดำเนินคดีเองได้เลย ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยเล็งเห็นผล โดยไม่ต้องรองตำรวจตั้งข้อหา ซึ่งในข้อหานี้ โทษสูงสุดคือประหารชีวิต


ส่วนประเด็นที่มีแม่บ้านของแมนชั่น เป็นผู้ที่บอกให้คนที่ก่อเหตุไปทุบประตู้ห้องน้องผู้ตายนั้น มีความผิดไหม

ทนายเดชาบอกว่า คดีนี้ แม่บ้านมีส่วนผิดด้วย เพราะอยู่ดี ๆ ไปชี้ห้องผิดได้อย่างไร แล้วก็ทำให้เขาเดือดร้อน อาจจะมีความผิดฐานสนับสนุน ก็ว่ากันไปในชั้นพนักงานสอบสวน

-------------

ขณะที่ ทีมข่าวก็ได้สอบถามไปยัง นายประยุทธ์ เพชรคุณ โฆษกอัยการสูงสุด ถึงเรื่องที่ตำรวจ ตั้งข้อหาผู้ก่อเหตุแค่ 3 ข้อหา แบบเบามาก

นายประยุทธ์ บอกว่า เรื่องนี้สำนวนอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวนอยู่ ยังไม่ได้มาถึงมืออัยการ ถ้าตนเองออกความเห็นไป อาจจะเป็นการก้าวก่ายงานของตำรวจ


ซึ่งตามหลักการคือ ทางอัยการต้องรอสำนวนก่อน ถ้าเราไปเริ่มต้นบอกเลยว่า จะต้องแจ้งข้อหาอะไร มันจะผิดหลักเกณฑ์ และไม่เหมาะสม


ทั้งนี้ หากสำนวนมาถึงอัยการแล้ว ตนเองยินดีที่จะตอบทุกคำถามแบบเต็มที่แน่นอน

-------------

หลังการสูญเสียน้องเฟิร์น นางสาวอาภาพร สีชำนาญ  นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วัย 27 ปี ที่พลัดตกตึก เพราะปีนระเบียงหนีคนเมาที่มาก่อเหตุทุบประตูห้อง เพราะเข้าใจผิดว่าน้องเฟิร์นไปจอดรถทับที่ ทางครอบครัวได้นำร่างน้องเฟิร์นไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดลำนารายณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี จำนวน 3 คืน ก่อนจะมีพิธีฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา  


โดยต่อมา มีการเปิดเผยข้อความไว้อาลัย ที่คุณแม่เขียนถึงลูกสาว และนำไปอ่านในพิธีไว้อาลัยในงานฌาปนกิจเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 ที่ผ่านมา


โดยส่วนหนึ่งเล่าถึงเส้นทางการศึกษาของลูกสาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 น้องเฟิร์นศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับทุนการศึกษาพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ จบการศึกษาปริญญาตรีด้วยเกรดเฉลี่ย 3.19



พ.ศ. 2562 ได้ศึกษาในระดับปริญญาโท ที่ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับทุนการศึกษาของทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จบการศึกษาในระดับปริญญาโทด้วยเกรดเฉลี่ย 3.50


พ.ศ. 2564 ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ที่ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับทุนการศึกษาในโครงการพัฒนาบัณฑิตและวิจัยคุณภาพสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  


ซึ่งในเวลาต่อมา ได้เดินทางไปนำเสนอผลงานวิจัยที่ไต้หวัน เมื่อวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2566 และได้รับรางวัลการนำเสนอผลงานวิจัยแบบโปสเตอร์ ในงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่ประเทศไต้หวัน มีกำหนดจบการศึกษาในระดับปริญญาเอกในปี พ.ศ. 2567


หลังเรื่องราวของน้องเฟิร์นเผยแพร่ออกไปในโซเชียล ก็มีคนเข้ามาแสดงความเสียใจกับครอบครัวจำนวนมาก  หลายคนบอกว่า เสียดายบุคลากรทรงคุณค่า  ที่น่าจะเป็นอนาคตของประเทศชาติต่อไป  แต่กลับต้องมาจากไปด้วยเรื่องเช่นนี้ พร้อมขอให้เธอ และครอบครัว ได้รับความเป็นธรรมอีกด้วย

-----------

คุณอาจสนใจ

Related News