สังคม
แรงงานไทยล็อตแรก กลับถึงไทย เล่านาทีชีวิตหลบระเบิด-กระสุน หลายคนลั่นไม่ขอกลับไปอีก
13 ต.ค. 2566
29 views
วานนี้ (12 ต.ค. 66) เวลา 11.22 น. ที่ท่าอากาศยาสุวรรณภูมิ แรงงานไทยที่เดินทางกลับ กรณีได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบตะวันออกกลาง จำนวน 15 คน ได้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ด้วยเที่ยวบินของสายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY083 ออกเดินทางจากกรุงเทลอาวีฟ เวลา 22.55 น. ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 11.22 น. เที่ยวบินนี้ ไม่ได้มีแค่แรงงานไทย 15 คน ที่รัฐบาลไทยให้การช่วยเหลือเท่านั้น ตต่ยังมีแรงงานไทยที่ซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับมาเองอีก 26 คน รวมเป็น 41 คน
สำหรับแรงงานไทย 15 คน นั้นเป็นกลุ่มที่ไปทำงานโดยผ่านกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย
1. นายสมมา แซ่จ๊ะ ชาว จ.ตาก (บาดเจ็บถูกยิงขาข้างซ้าย)
2. นายจิรายุ สุกใส ชาว จ.สุรินทร์ (โดนยิงไหล่ขวา)
3. นายวิมาน วงศ์จำปา ชาว จ.หนองบัวลำภู (โดนยิงแขนซ้าย)
4. นายกรัชกร พุทธสอน ชาว จ.พะเยา (บาดเจ็บถูกยิงหัวเข่าข้างซ้าย)
5. นายอนุชา บุญญะสาร ชาว จ.นครราชสีมา
6. นายกิตติพงษ์ ไชยโก ชาว จ.หนองบัวลำภู
7. นายสมบูรณ์ แซ่ว่าง ชาว จ.เชียงราย
8. นายจันทร์ดี แซ่ลี ชาว จ.เชียงราย
9. นายสุพิพัฒน์ กงแก้ว ชาว จ.ยโสธร
10. นายสมพร คาระบุตร ชาว จ.หนองบัวลำภู
11. นายธนศักดิ์ จันทร์ดำ ชาว จ.หนองบัวลำภู
12. นายสถิตย์ พรมอนารถ ชาว จ.หนองคาย
13. นายไกรสร บัวฝาย ชาว จ.อุดรธานี
14. นายณรงค์ชัย ลีละครจันทร์ ชาว จ. สกลนคร
15. นายวิชัย คำศรี ชาว จ.อุบลราชธานี
โดยแรงงานไทยทั้ง 15 คน ส่วนใหญ่ทำงานเกษตรกรรมอยู่ในพื้นที่เมืองนิริม ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง อยู่ห่างจากชายแดนฉนวนกาซา เพียงแค่ 2 กิโลเมตร เท่านั้น โดยมีแรงงานบางคนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุสู้รบที่เกิดขึ้นด้วย
-------------
น.ส.นันทวัน แซ่ลี้ ภรรยาของ นายสมมา แซ่จ๊ะ ชาว จ.ตาก กล่าวว่า
สามีของตน ไปเป็นแรงงานไทยที่อิสราเอล 2 ปี แล้ว เนื่องจากครอบครัวมีรายได้น้อย มีไม่พอใช้ สามีจึงเสียสละ ขอไปทำงานที่ต่างประเทศ แล้วส่งเงินมาให้ครอบครัว ซึ่งก็จะส่งเงินมาให้เดือนละ 30,000 - 50,000 บาท ทำให้ครอบครัว สามารถสร้างบ้านจนเสร็จ มีบ้านอยู่ ซึ่งก่อนที่จะไป สามีก็ทราบดีว่า ประเทศอิสราเอลค่อนข้างอันตราย แต่ไม่คิดว่าจะอันตรายขนาดนี้
ในวันที่ 7 ตุลาคม ช่วงเย็น เกิดเหตุปะทะรุนแรงขึ้น แล้วสามีก็บอกว่า นายจ้างพาไปอยู่ที่บ้าน จนกระทั่ง พี่ชายของสามีโทรมาบอกว่า สามีของเราถูกยิงที่ขา ตนก็ตกใจมาก เพราะกลัวว่าจะเป็นอะไรไป แต่พี่ชายบอกว่า สามีสามารถขยับขาได้เล็กน้อย ก็รู้สึกเป็นห่วงสามีมาก แต่ก็ไม่สามารถติดต่อสามีได้ เนื่องจากไม่มีสัญญาณ วันนี้ สามีได้กลับมาแล้ว ก็ไม่อยากให้กลับไปทำงานอีก หลังจากนี้ จะเป็นคนดูแลสามีเอง ส่วนลูกก็เป็นห่วงพ่อมาก รอกลับบ้านทุกวัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สามีกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะสามารถกลับบ้านได้เลยหรือไม่ เนื่องจากว่า สามีต้องไปตรวจร่างกายที่สถาบันบำราศนราดูร อาจจะต้องรักษาตัวให้หายดีก่อน จึงจะสามารถกลับบ้านได้
ด้าน มารดาของนายสมมา กล่าวสั้น ๆ ว่า ตอนนี้ เป็นห่วงลูกชายมาก และดีใจที่เราจะได้เจอกันแล้ว
-------------
นาย กรัชกร พุทธสอน ชาว จ.พะเยา (บาดเจ็บ ถูกยิงหัวเข่าข้างซ้าย) ซึ่งต้องใช้รถเข็น เปิดใจกับสื่อมวลชนที่สนามบินสุวรรณภูมิ เล่าถึงเหตุการณ์นาทีหนีตายจากคมกระสุน ว่า
ตอนเช้า ที่เกิดเหตุสู้รบกัน นายจ้างพาไปหลบภัยที่บ้านเขา แล้วพอถึงเวลาเที่ยง นายจ้างบอกว่ามันสงบแล้ว เขาจะพามาเปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าว แล้วกลับบ้านนายจ้าง
“แต่ระหว่างทางจะกลับเข้าในที่พัก ก็มีเสียงลูกปืน ยิงมาจากถนน ตนเป็นคนอยู่ท้ายรถคนสุดท้าย ได้ยินเสียงลูกปืนยิงมา ก็หันไปมองกันว่าเสียงอะไรกัน ทีนี้ ตนโดนเข้าหัวเข่าคนแรก ก็ก้มมองเหมือนก้อนหินโดน หรืออะไรกระเด็นใส่ ซึ่งมันไม่ใช่แล้ว เพราะมันทะลุเข้าไป ก็เลยบอกเพื่อนว่า ตอนนี้โดนยิงแล้ว บอกนายจ้างให้นายจ้างขับรถพาหนี”
นาย กรัชกร เล่าต่อว่า พอขับไปสักพัก เขาก็ไล่ยิงตาม ส่วนคนที่ 2 นี้ หมอบอยู่กับตัวถังรถ ก็โดนยิงทะลุตัวถังรถเข้ามาโดนขา วันนั้น โดนกัน 4 คน ไปกัน 7-8 คน บางคนก็โดนยิงทะลุกระจก เพื่อนอีกคนโดนยิงเข้าแก้ม ยังคิดว่า ไม่น่ามีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ เพราะอาวุธปืนรุนแรงมาก
“คือเขายิงแบบรัวๆ เลย ไม่ได้ยิงทีละเม็ดแบบในหนัง ยิงมาเป็นชุดเลยแบบกระหน่ำ ส่วนนายจ้างขับรถหนีไปถึงหมู่บ้าน ญาติพี่น้องเขาช่วยพวกผมไปในที่หลบภัย แล้วหารถกู้ชีพมารับออกไป”
-------------
นาย จิรายุ สุกใส ชาว จ.สุรินทร์ (บาดเจ็บ โดนยิงที่ไหล่ขวา) กล่าวว่า ขอบคุณทุกหน่วยงานที่ช่วยตนและแรงงานคนไทยในอิสราเอล จนกลับมาอย่างปลอดภัย เหตุการณ์สู้รบที่เกิดขึ้น ทำให้ตนคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านมาก ๆ ส่วนอาการบาดแผลที่โดนยิง เริ่มดีขึ้นแล้ว
ตนนอนอยู่ในห้องพัก ซึ่งเป็นตู้คอนเทนเนอร์กับเพื่อน รวม 4 คน โดยโรงงานของตนมีรั้ว เขายิงเข้ามาจากข้างนอก ลักษณะเป็นการกราดยิง ตนรู้สึกว่าโดนยิง จึงกระโดดลงจากเตียง และหมอบอยู่ใต้เตียง พอเสียงปืนเงียบ ก็วิ่งเข้าไปในโรงงาน หลบอยู่ในโรงงาน และใช้มือปิดแผลห้ามเลือดไว้
ตนโดนยิงคนเดียว เพื่อนที่เหลือปลอดภัย หลังจากพวกตนเข้าไปซ่อนตัวในโรงงาน เขาก็บุกเข้ามาตรงที่พัก ได้ยินเสียงปืนดังระเบิดตลอดเวลา ซ่อนตัวตั้งแต่วันเสาร์จนถึงเช้าวันอาทิตย์ พอเสียงปืนเงียบ รุ่นพี่โทรหานายจ้าง ให้มารับตนไปหาหมอ ส่วนพวกรุ่นพี่หลบอยู่ในโรงงาน”
นายจิรายุ เล่าว่า เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ตนพยายามเอาตัวเองให้รอดและวิ่งซ่อนตัว อย่าให้เขาหาเจอ กลัวโดนจับ และกลัวตาย จึงต้องหาที่ซ่อนตัว ไม่ได้กินอะไร ไม่กล้าออกไปที่ไหน ถ้าจะไปที่ไหนต้องให้นายจ้างพาไป
ทั้งนี้ ตนเองทำงานในฟาร์มไก่ ได้เพียง 4 เดือน เท่านั้น ตอนนี้ อยากเห็นหน้าพ่อแม่
-------------
นาย สุพิพัฒน์ กงแก้ว แรงงานไทยในอิสราเอล ชาว จ.ยโสธร เล่าว่า
ตนเองไปทำงานการเกษตร วันที่เริ่มสู้รบกัน เป็นช่วงเช้า ยังไม่ทันตื่น ตนได้ยินเสียงเปิดสัญญาณไซเรนดังขึ้น ตนและเพื่อนร่วมงานซึ่งพักอยู่ด้วยกัน ก็ไปนั่งทานข้าวกันตามปกติ และได้ยินเสียงระเบิด จึงพากันวิ่งไปหลบอยู่ในห้องน้ำ เนื่องจากบังเกอร์หลบภัยอยู่ไกล หลบอยู่ในห้องน้ำจนเหตุการณ์สงบลง
ทั้งนี้ ตนและเพื่อนร่วมงานในแคมป์ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ซึ่งช่วงแรกที่เกิดเหตุการณ์สู้รบนั้น ตนเองไม่ได้ติดต่อทางบ้านที่ไทย เพราะกลัวทางบ้านเป็นห่วง ไม่อยากให้ทางครอบครัวรับรู้อะไร ตอนนี้ กลับถึงไทยอย่างปลอดภัย ก็รู้สึกโล่ง ฝากถึงภาครัฐ ช่วยเคลียร์ และช่วยเหลือแรงงานที่อยู่ในพื้นที่สีแดง ออกมาก่อน
-------------
นางปิยะพร สังข์ทอง อายุ 39 ปี ภรรยาของ นาย ไกรสร บัวฝาย ชาว จ.อุดรธานี ซึ่งได้พา ‘น้องออก้า’ ลูกชายวัย 7 ขวบ มารอรับสามีด้วย เปิดเผยทั้งน้ำตา ว่า
สามีไปทำงานเกษตรกรรมได้เกือบ 5 ปี แล้ว ส่งเงินมาให้ครอบครัวเดือนละ 40,000 - 50,000 บาท ทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นมาก
วันที่เกิดเหตุ สามีโทรมาแต่เช้า บอกว่ายิงกันอีกแล้ว และถ่ายรูปส่งมาให้ดูว่า มีกระสุนยิงทะลุผนังห้องนอนเยอะมาก แต่สามีวิ่งหนีไปหลบในบังเกอร์ได้ทัน
ซึ่งสามีบอกว่า ไม่เคยเจอเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้มาก่อน ตนเลยบอกว่า ไม่เอาแล้วให้กลับบ้าน รู้สึกเป็นห่วงมาก ตอนแรกสามีบอกว่า อีกไม่กี่เดือนก็จะครบสัญญาแล้ว แต่ตนขอว่า ให้เดินทางกลับเลย
สามีได้เล่าความเป็นอยู่ช่วงที่เกิดเหตุให้ฟัง บอกว่า ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง และคอยซ่อนตัว อีกทั้ง สามีก็เป็นหัวหน้าคนงานไทยที่อยู่ด้วยกันทั้งหมด 19 คน สามีจึงคอยให้ลูกน้องผลัดกันนอน แต่ตัวเองคอยดูแลลูกน้อง ไม่ได้กินข้าว และไม่ได้นอนเลย ต้องคอยฟังเสียงสัญญาณเตือนให้หลบภัย แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะวันที่โดนยิงตรงห้องนอน สัญญาณเตือนก็ไม่ทำงาน
สำหรับวันนี้ คนไทยในกลุ่มของสามีที่ทำงานด้วยกัน จะเดินทางกลับมาพร้อมกันทั้งหมด 7 คน ส่วนที่เหลือรอเดินทางกลับในวันที่ 15 ต.ค. นี้
ซึ่งเมื่อคืนนี้ ได้คุยกันก่อนสามีขึ้นเครื่อง ตนก็รู้สึกโล่งใจ ตอนนี้ ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ ขอเพียงแค่ให้สามีได้กลับมา และก็คุยกันว่า หลังจากนี้จะไม่ให้เดินทางไปทำงานที่ไหนอีกแล้ว กลับมาทำไร่ทำนาที่บ้านดีกว่า
-------------
นายสมาน ไชยโก อายุ 62 ปี พ่อของ นาย กิตติพงษ์ ไชยโก ชาว จ.หนองบัวลำภู ที่เดินทางมารอรับลูกชาย บอกว่า
ลูกชายเล่าช่วงเผชิญเหตุการณ์ว่า ขณะอยู่ในแคมป์กัน 11 คน มีคนบุกมายิง ทำให้เสียชีวิต 6 คน และ รอด 5 คน หนึ่งในนั้นคือลูกชายเขาที่รอด
ทั้งนี้ พอแถลงข่าวเสร็จสิ้น แรงงานไทยต่างเข้าไปสวมกอดครอบครัวของตนเองเช่นเดียวกับ นายกิตติพงษ์ ไชยโก เดินเข้าไปนั่งกราบเท้า นายสมาน ไชยโก (บิดา) ก่อนที่ผู้เป็นพ่อ จะล้วงด้ายสายสิญจน์สีขาวออกจากกระเป๋าเสื้อ ผูกข้อมือซ้ายให้ลูกชายเพื่อเรียกขวัญ จากนั้น ทั้งสองก็สวมกอดกัน ด้วยความตื้นตันใจ
นายกิตติพงษ์ ไชยโก หนึ่งในแรงงานไทย ที่เดินทางกลับถึงประเทศไทย เผยว่า
ตอนนี้ ตนเดินทางกลับมาปลอดภัยแล้ว แต่ในอนาคตจะเดินทางกลับไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลอีกหรือไม่ ต้องขอดูก่อน
ส่วนบริษัทที่ตนเองทำงานอยู่นั้น โดนระเบิดถล่มยับเสียหายหมด ตอนนี้ ขอกลับมาอยู่เมืองไทย ทำใจซักระยะหนึ่งก่อน ตอนนี้ ยังทำใจไม่ได้ เนื่องจากสูญเสียเพื่อนร่วมทำงาน ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกัน
-------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/9hTi20b-CYs