สังคม

ปิดคดีทุนจีนสีเทา หลอกขายพระเครื่องปลอม ยึดทรัพย์กว่า 130 ล้าน พร้อมดำเนินคดีเจ้าอาวาสวัดเขาชีจรรย์

โดย nattachat_c

9 ส.ค. 2566

530 views

วานนี้ (8 ส.ค. 66) พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนา และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) แถลงปิดคดี กลุ่มคนจีนเช่าวัดในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เพื่อหลอกขายพระเครื่องให้ทัวร์จีน ว่า


ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวจีน ที่ทำหน้าที่ขายพระในวัดได้ทั้งหมดรวม 12 ราย และได้ขยายผลออกหมายจับชาวจีนเพิ่มเติมอีก 6 ราย ซึ่งสามารถจับกุมได้แล้ว 4 ราย หลบหนี 2 ราย โดยดำเนินคดีฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน


นอกจากนี้ ยังได้แจ้งข้อกล่าวหา แก่พระครูวิสุทธิ์ธรรมานุสิฐสมศักดิ์ เจ้าอาวาสวัด ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือ ม. 157 โดยได้ส่งสำนวนคดีไปยัง ป.ป.ช.แล้ว


พร้อมจับกุม นางสาวพยอม แม่บ้านของวัด ในความผิดฐานสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ


นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ยึดทรัพย์สินของผู้ต้องหาชาวจีนได้รวมกว่า 100 ล้านบาท และทรัพย์สินของเจ้าอาวาสและเครือญาติ รวมมูลค่ากว่า 137 ล้านบาท


ขณะเดียวกัน ยังตรวจสอบพบว่า หนึ่งในผู้ต้องหาชาวจีน ยังมีการแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่อำเภอ เพื่อให้บุตรได้สัญชาติไทย ได้แจ้งข้อกล่าวหาแจ้งความเท็จเพิ่มเติมอีกหนึ่งข้อหา

-----------

สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าว พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวว่า กลุ่มทุนชาวจีนได้เข้ามาเช่าวัด พร้อมทั้งตกแต่งวัดให้ดูสวยงาม โดยมีการจ่ายค่าเช่าให้วัด แล้วนำคนไทยเข้ามาขายวัตถุมงคลภายในวัด


ถือเป็นการแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน จากการจำหน่ายพระเครื่องปลอมที่ไม่ผ่านการปลุกเสก นำมาหลอกขายในมูลค่าสูง และรับความนิยมในหมู่ชาวจีน โดยทีต้นทุนเพียงองค์ละ 400 บาท แต่ให้เช่าในราคาสูงถึงองค์ละ 20,000 บาท


ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนได้รับความเสียหาย ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเปรียบได้กับทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่กลับเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากที่ไทยเปิดการท่องเที่ยวในประเทศ


นอกจากนี้ ยังพบว่า ขบวนบวนการดังกล่าวได้นำเครื่องรูดบัตรที่สามารถโอนเงินไปยังประเทศจีนได้ทันที ที่มีการซื้อขาย โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะบูรณาการกับสำนักงานพระพุทธศาสนา และ ป.ป.ง. เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินของเครือข่ายนี้ โดยเฉพาะเจ้าอาวาสเขาชีจรรย์ และเครือญาติทั้งหมด

-----------

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันตรวจสอบวัดที่เข้าข่ายการกระทำความผิดลักษณะดังกล่าว ในจังหวัดชลบุรี ทั้งหมด 14 แห่ง โดยพบว่ามี 4 วัด ที่พบว่ามีการจำหน่ายวัตถุมงคล แต่เป็นการจำหน่ายโดยทางวัดเอง ไม่เกี่ยวข้องกับนายทุนชาวจีน ส่วนอีก 10 วัดไม่พบว่ามีการจำหน่ายวัตถุมงคลแต่อย่างใด


ด้านพันตำรวจเอกแดนไพร แก้วเวหล รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระบุว่า เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือน พฤษภาคม 66 รวมระยะเวลา 6 เดือน


จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาได้เช่าพื้นที่วัดโดยบริษัทของคนจีนที่มีภรรยาเป็นคนไทย และมีการจดทะเบียนตั้งบริษัท โดยแจ้งว่าประกอบกิจการร้านอาหาร แต่กลับมาจำหน่ายวัตถุมงคล พบเงินหมุนเวียนในบัญชีบริษัทดังกล่าวกว่า100 ล้านบาท และ จ่ายค่าเช่าในราคาเดือนละ 150,000 บาท


นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสวัดเขาชีจรรย์ ในความผิดตามมาตรา 157 และส่งสำนวนคดีไปให้ ป.ป.ช.แล้ว จากนี้ ตำรวจยังจะขยายผลไปยังมารดาและน้องชายของเจ้าอาวาส ที่พบว่ามีทรัพย์สินประมาณ 29 ล้านบาท ขณะที่ บัญชีทรัพย์สินของวัดนั้นนั้น จากการตรวจสอบพบว่า ขณะนี้เหลือเพียงสามล้านบาท

-----------

ด้านนายอินทพร จันทร์เอี่ยม รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา กล่าวว่า

ขณะนี้ ได้มีการขยายผลตรวจสอบไปในพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยเข้าไปตรวจค้นวัดที่มีการจำหน่ายวัตถุมงคล ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของสำนักพุทธฯ ที่สามารถให้ประชาชนเช่าพื้นที่ในวัดได้ โดยวัดมีอำนาจพิจารณาได้เอง ในเงื่อนไขสัญญาเช่า 3 ปี หากสัญญาเช่าเกินระยะเวลา 3 ปี ที่กำหนด จะต้องส่งให้สำนักพุทธเป็นผู้พิจารณา และไม่อนุญาตให้ทุนต่างชาติเช่าพื้นที่


และนอกเหนือจากวัดในจังหวัดชลบุรีแล้ว สำนักพระพุทธศาสนายังเตรียมขยายผลตรวจค้นวัดในจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ เช่น จังหวัดภูเก็ต เนื่องจากเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก


ส่วนพระสงฆ์วัดเขาชีจรรย์และเจ้าอาวาส จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ ซึ่งต้องรอกระบวนการทางอาญาตรวจสอบให้เสร็จสิ้นก่อน จึงจะดำเนินการต่อได้

-----------

ด้าน ผู้แทนจาก ป.ป.ง. กล่าวว่า

ขณะนี้ พบความผิดสองกรณีคือ ฉ้อโกงประชาชน และ ม.157 บุคคลที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกตรวจสอบทรัพย์สินว่า มีการรับโอนเงินจากการกระทำความผิดหรือไม่


และการโอนเงินโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายฟอกเงิน หากพบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปถึงผู้ใด ก็จะยึดอายัดทรัพย์สินทั้งหมด มาตรวจสอบเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

-------------

คุณอาจสนใจ

Related News