สังคม

ผู้การ ปปป.เผยพบ 5-6 ตร.ทางหลวง เอี่ยว 'ส่วยสติกเกอร์' - 'วิโรจน์' ยันไม่กลัวถูกคุกคาม หลังเปิดโปง

โดย nattachat_c

7 มิ.ย. 2566

265 views

ผู้บังคับการ ปปป. จ่อเรียก 6 ตำรวจทางหลวง เอี่ยวส่วยสติกเกอร์ ช่วยราชการภายใน 1-2 วันนี้ เชื่อมีมากกว่านี้ สั่งขยายผล ตรวจสอบ 50 ด่านชั่งที่ถูกร้องเรียนพัวพันรับส่วย ย้อนหลัง 2 ปี พร้อมนัด วิโรจน์ และสหพันธ์การขนส่งทางบกฯ หารือเพิ่มพรุ่งนี้ช่วงบ่าย

วิโรจน์ เตรียมส่งเบาะแสส่วยให้เพิ่ม ย้ำต้องแก้ปัญหาเชิงระบบ ไม่ใช่แค่ปราบปราม ยันไม่กลัวการคุกคามหลังเปิดโปง มั่นใจประชาชนจะปกป้อง


วานนี้ (6 มิ.ย. 66) พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการ ปปป. และรักษาการผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เรียกประชุมชุดสืบสวนส่วยทางหลวง ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการ


พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ เปิดเผยก่อนการประชุมว่า ได้เรียกชุดสืบสวนมาติดตามข้อมูลในประเด็นต่างๆ ที่มอบหมายไป โดยเฉพาะที่ได้สั่งการให้ทั้ง 8 กองกำกับการ รายงานข้อเท็จจริงกลับมา วันนี้จะเอาข้อมูลมาไล่ดูทั้งหมด


ต่อมา พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ได้เปิดเผยภายหลังจากเรียกประชุม ว่า


ขณะนี้พบว่า มีตำรวจทางหลวง 5-6 นาย เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เตรียมจะเซ็นคำสั่งเรียกให้มาช่วยราชการภายใน 1-2 วันนี้ เพื่อทำการสอบสวนข้อเท็จจริง และหากพบพยานหลักฐานว่ากระทำความผิดทางอาญาชัดเจน ก็จะดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ตนอยากจะเซ็นคำสั่งก่อนที่ทางสหพันธ์ฯ และว่าที่ ส.ส.วิโรจน์ จะมาเข้าพบ เพื่อแสดงความจริงใจในการทำงาน


สำหรับพฤติการณ์ของตำรวจชุดนี้ ยังไม่ขอเปิดเผย และจะเป็นตำรวจทางหลวงชุดเฉพาะกิจหรือไม่ ก็ขอปิดไว้ก่อน แต่เบื้องต้น เป็นการได้ข้อมูลสอบปากคำจากผู้เสียหาย ที่ให้การเป็นประโยชน์ และพบว่าเข้าข่ายความผิด


ทั้งนี้เชื่อว่า จะมีผู้กระทำความผิดมากกว่า 6 นาย แต่ขอเวลาให้ชุดสืบสวนดำเนินการรวบรวมหลักฐานให้ชัดเจนก่อน ซึ่งหากเกี่ยวข้องกับใคร ก็จะดำเนินคดีทั้งหมด


ส่วนผลการตรวจสอบข้อมูลการรับส่วยของแต่ละกองกำกับการของตำรวจทางหลวง ได้ส่งผลรายงานมาให้แล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล และชุดสืบสวนที่ตั้งขึ้นก็จะตรวจสอบคู่ขนานกันไปด้วย


ส่วนกรณีภรรยาของรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม ทำสติกเกอร์จำหน่ายให้กับรถบรรทุก ชุดสืบสวนมีข้อมูลแล้ว แต่เป็นอีกชุดที่จะทำงานสืบสวนคู่ขนานกัน ซึ่งในชุดสืบสวนนี้จะตรวจสอบในหน่วยของตำรวจทางหลวงไปก่อน


เมื่อถามว่า จะต้องเชิญนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล เข้ามาให้ข้อมูลในฐานะที่เป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้หรือไม่นั้น พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการประสานกับนายวิโรจน์แล้ว นายวิโรจน์ก็บอกว่า ยินดีร่วมมือทำงานกันเพื่อปราบปรามการทุจริต โดยตนเองก็อยากให้นายวิโรจน์ช่วยเหลือ ตอนนี้ก็รอข้อมูลอยู่


ยืนยันว่า มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน จะไม่หมกเม็ด ตั้งใจจะมาแก้ปัญหา และให้ความเป็นธรรมกับกับทั้งสหพันธ์การขนส่งฯ และตำรวจที่ถูกกล่าวหา


ขณะที่ ตำรวจยังรอข้อมูลจากนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล และสหพันธ์การขนส่งฯ เข้ามาพบเพื่อส่งข้อมูลให้ร่วมตรวจสอบ โดยเบื้องต้น พูดคุยว่าจะไปรับข้อมูลพร้อมกันกับวันที่นายวิโรจน์และสหพันธ์ฯ จะเข้าพบจเรตำรวจแห่งชาติ ในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ จากนั้นเมื่อได้ข้อมูลก็จะนำมารวมกันกับชุดสืบสวน และจะส่งเรื่องมาให้ตำรวจป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. ดำเนินคดีต่อ

--------------
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องสติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุกและส่วยทางหลวง ว่า


กำลังดำเนินการอยู่ ต้องสอบสวนทั้งคนให้และคนรับ คนให้ทำความผิดด้วยหรือเปล่าก็ต้องดู เพราะวันนี้ปัญหาของเราคือมีคนเสนอและมีคนรับ ต้องสอบสวนว่ามีการทุจริตด้วยกัน ต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย แต่ตำรวจทำความผิดก็ต้องลงโทษอยู่แล้ว ทุกเดือนก็มีการพิจารณา เขาก็ติดตามอยู่

--------------

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้ (8 มิ.ย.) นี้ จะนำเบาะแส เรื่องส่วนทางหลวงไปให้กับจเรตำรวจแห่งชาติ รวมถึงพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบ.ทล.)


ซึ่งจะเป็นเบาะแสสำคัญที่จะทำให้ตำรวจไปทำการแกะรอยและสืบสวนสอบสวนได้ ซึ่งเบาะแสที่จะนำไปให้มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจำนวนมาก เพราะรูปแบบแต่ละสติกเกอร์มีทั้ง นักการเมือง // ผู้ประกอบการท้องถิ่น // เจ้าหน้าที่ด่านช่าง // ตำรวจท้องที่ที่ทำงานด้านจราจร และตำรวจทางหลวง ซึ่งสติกเกอร์แต่ละดวงมีความเกี่ยวพันไม่เหมือนกัน พร้อมย้ำว่า เป็นแค่บางคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่ได้เหมารวมทุกคน


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจคณะทำงานของจเรตำรวจหรือไม่

นายวิโรจน์ กล่าวว่า มีความมั่นใจ ซึ่งต้องยอมรับว่า การให้สัมภาษณ์หลายๆ ครั้งของ ทางพล.ต.ต.จรูญเกียรติ และจเรตำรวจแห่งชาติดีมาก ตนคิดว่า ทั้ง 2 ท่าน เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะแต่เดิมที่ประชาชนจะให้เบาะแสการกระทำผิด ก็จะเจอกับตำรวจระดับสูงในยุคก่อน ที่จะถามหาหลักฐานก่อน ซึ่งประชาชนจะมีความสามารถอะไร ที่จะไปหาหลักฐานที่มัดตัวผู้กระทำผิดได้ ดังนั้น หน้าที่การสืบสวนเบาะแสที่ได้จากประชาชน จะต้องเป็นของตำรวจ


นายวิโรจน์ ยังให้กำลังใจการทำงานของพล.ต.ต.จรูญเกียรติ และจเรตำรวจที่กำลังทำงาน ขอไม่กดดันเรื่องกรอบเวลาทำงานของทางตำรวจ เพราะความคืบหน้ากำลังไปได้ด้วยดี ซึ่งข้อมูลที่จะไปยื่นให้เป็นหลักฐานสำคัญ และเป็นบทสรุปของทั้งสหพันธ์ฯ และของตนเอง เพื่อให้หาตัวผู้มีส่วนเจ้าหน้าที่ราชการที่มีส่วนกับการกระทำความผิด และเป็นทำให้ข้าราชการที่ดีไม่เสียกำลังใจ


ส่วนการออกมาแฉแล้วเกิดการปราบปรามอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มีมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ถูกแก้ปัญหา


นายวิโรจน์ กล่าวว่าว่า ต้องถามนายกรัฐมนตรี ว่า 8-9 ปี ทำไมถึงปล่อยให้อยู่ในสภาพแบบนี้ จากเดิมเคยมีมาตรา 44 ทำไมถึงไม่เรียกคนเหล่านี้มาปรับทัศนคติบ้าง หรือ ทัศนคติตรงกัน


วันนี้และในอนาคต ไม่สามารถแก้ด้วยการปราบปรามอย่างเดียว ต้องแก้เรื่องของกฎหมายที่ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติด้วย รวมถึงการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ที่ใช้ดุลพินิจเกินความจำเป็น และบทกำหนดโทษที่หนักเกินไป จนไม่ได้สัดส่วน ทำให้เจ้าหน้าที่บางคนใช้เป็นเครื่องมือในการเรียกรับผลประโยชน์ และควรนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมากขึ้นด้วย


สำหรับการช่างน้ำหนักของรถบรรทุก หากน้ำหนักเกินก็จะต้องมีบทกำหนดโทษอย่างเหมาะสม เพราะทุกวันนี้น้ำหนักเกินโทษถึงขั้นยึดรถ ดังนั้น เมื่อเจอตำรวจบางคนก็ได้โอกาสหาช่องเรียกรับผลประโยชน์ และเป็นช่องให้พนักงานสอบสวนค้าสำนวน เปลี่ยนถูกให้เป็นผิดเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก


จึงควรต้องแก้บทกำหนดโทษให้มีการเปรียบเทียบปรับอย่างสมเหตุสมผล และใช้เทคโนโลยีในการจ่ายค่าปรับเพื่อให้เงินเข้ารัฐแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาจะต้องทำที่ระบบ ไม่ได้แก้ไขปัญหาเพียงแค่การปราบปรามเพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้งอกขึ้นมาใหม่ได้


ส่วนที่มองว่าจะถูกตัดตอนที่ตัวเล็กตัวน้อย แล้วไปไม่ถึงตัวการใหญ่หรือไม่นั้น

หากจะกวาดให้ครบก็คงไม่ครบอยู่แล้ว จึงมองว่า การจะแก้ปัญหาเรื่องนี้จะต้องวางที่ระบบและกฎหมาย รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ และที่สำคัญคือการเลิกระบบซื้อขายตำแหน่ง เพราะคนที่ซื้อขายตำแหน่งมาก็จะต้องมาถอนทุน ในการวางเป้าส่วยให้กับลูกน้อง


นายวิโรจน์ ยังส่งสัญญาณไปยังข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ไม่ใช่แค่ตำรวจ พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ระบบคุณธรรมจะต้องกลับมา ข้าราชการที่ตั้งใจทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา สุจริตจะต้องมีโอกาสในการเติบโต ให้มีอำนาจในการบริหารงาน เพื่อจะได้เป็นขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริต ส่วนข้าราชการที่ไม่ดี ก็จะต้องมีการปราบปรามอย่างเป็นธรรมเช่นกัน


พร้อมยอมรับว่า หลังจากที่ออกมาเปิดโปงก็มีโทรศัพท์มาคุกคาม มาบ่นให้ฟัง และพูดหยาบคาย แต่ตนเองก็ตัดสายไป เพราะเชื่อว่า หากทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่ต้องกลัวอะไร และ มองว่าสังคมควรต้องเปลี่ยนจากการระวังตัว เป็นการให้กำลังใจ และประชาชนจะอยู่ข้าง และปกป้องมากกว่า


ทั้งนี้ นายวิโรจน์ ยังมองว่า สิ่งแรกที่จะต้องทำคือการรื้อฟื้นความเชื่อมั่นของตำรวจ ซึ่งวงการข้าราชการมีการซื้อขายตำแหน่ง และจะทำให้ข้าราชการที่ตั้งใจทำงานจำนวนมากไม่มีโอกาสได้เติบโต ปัญหามาจากการซื้อตำแหน่งก่อให้เกิดระบบส่งส่วย และเกิดคอรัปชั่นแบบฝังรากลึก นำไปสู่ระบบการหากินบนความเดือดร้อนของประชาชน ที่จะต้องถูกรื้อฟื้นระบบคุณธรรม และทำให้ข้าราชการที่ตั้งใจทำงานสุจริตในหน้าที่ ได้เติบโตในหน้าที่ทำงานสำคัญมาก และคิดว่า รัฐบาลก้าวไกลจะทำให้ข้าราชการที่ทำงานสุจริตกลับมามีรอยยิ้ม และภาคภูมิใจในการเป็นข้าราชการอีกครั้งนึง

------------











คุณอาจสนใจ

Related News