สังคม

สาวแจ้งความเก๋งหัวร้อนขับปาดหน้า แต่คดีไม่คืบ-ยันคู่กรณีตั้งใจเบรกให้ชนท้าย

โดย taweelap_b

5 มิ.ย. 2566

184 views

กรณีเพจเฟซบุ๊ก อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น Part 6 โพสต์คลิปวิดีโอกล้องหน้ารถของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง พร้อมคำบรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ขณะขับอยู่บนถนนเจอคู่กรณีที่เป็นรถเก๋งสีแดงหัวร้อนปาดหน้า ทั้งนี้ ผู้โพสต์บอกเล่าเรื่องราว ว่ามีการกะพริบไฟเตือน ทำให้รถเก๋งคันดังกล่าวไม่พอใจ และมีการตัดหน้ากันจนเรื่องบานปลาย ขับจี้กันมากกว่า 10 กิโลเมตร ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น


เจ้าของรถที่เป็นเจ้าของกล้อง ยังระบุอีกว่า หลังเกิดเหตุได้มีการเข้าแจ้งความกับทางตำรวจ ซึ่งตำรวจยังไม่มีการดำเนินการ หรือชี้ว่าใครเป็นคนผิด ทั้งที่มีกล้องหน้ารถชัดเจน


ทีมข่าวติดต่อสอบถามไปที่นางสาวเอ (นามสมมติ) ผู้ขับขี่รถคันที่มีกล้องหน้ารถ เล่าให้ฟังว่า ในวันเกิดเหตุเป็นช่วงวันที่ 1 มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา ขนาดนั้นเสร็จจากการทำงานตามปกติ ตนก็เดินทางกลับบ้านพัก เดินทางจากเซ็นทรัลปิ่นเกล้าใช้ถนนบรมฯ ขาออก มุ่งหน้าไปพุทธมณฑลสาย 4 เมื่อขับมาได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มเจอกับรถเก๋งคันที่ปรากฏอยู่ในกล้องหน้ารถ ขณะนั้นมีการขับหวาดเสียว ตนจึงโทรศัพท์ไปแจ้งที่สายด่วน 191 ก่อนที่ในเวลาต่อมา ตนก็ได้ใช้ถนนเส้นดังกล่าวเพื่อเดินทางไปตามปกติ แต่จะสังเกตเห็นว่ารถคู่กรณีจะอยู่ด้านหน้าของรถตนเสมอ และคอยปาดหน้าไปมาตนจึงกะพริบไฟเตือนไปหนึ่งครั้ง รถคู่กรณีก็เริ่มขับหวาดเสียวมากขึ้น มีการขับปาดหน้าและพยายามเบรกเพื่อให้ตนชนท้ายหลายครั้ง ตนก็ได้พยายามหลบเลี่ยงเกือบ 10 กิโลเมตร ก่อนที่จะมาถึงจุดเกิดเหตุ เวลาประมาณ 19.03 น.


ขณะนั้นคู่กรณีก็พยายามเปลี่ยนเลนเข้ามาเลนของตนในระยะกระชั้นชิด ทำให้ตนเบรกไม่ทัน และชนท้ายไป 1 ครั้ง ก่อนที่คู่กรณีจะพยายามหักเข้ามาบังหน้ารถตน ทำให้เกิดการชนครั้งที่ 2 และ 3 ทำให้รถคู่กรณีเสียหลักหมุนขวางถนน เมื่อรถหยุดนิ่งหญิงสาวรายหนึ่งเปิดประตูลงมา และพยายามพูดจาขอโทษตน แต่ในเวลาต่อมาไม่นานก็มีหญิงอีกคนหนึ่ง คล้ายทอม ออกมาจากรถ และพยามวิ่งเข้ามาหาตน ซึ่งขณะนั้นจอดเปิดกระจกรถอยู่ ทำให้ต้องรีบปิดกระจกรถและนั่งรออยู่ภายในรถ


ในระหว่างนั้น คู่กรณีได้ใช้คำพูดรุนแรงด่าทอ รวมถึงท้าให้ลงถ พร้อมทั้งกล่าวหาว่าตนพยายามฆ่าจากการขับขี่แบบนี้ และได้วิ่งเข้ามาชกกระจกข้างประตูรถ 1 ครั้ง ก่อนที่แฟนสาวของทอมรายนี้ จะเข้ามาช่วยห้ามและดึงกลับออกไป ซึ่งตลอดเหตุการณ์ตนไม่ได้ลงจากรถ และพยามติดต่อตำรวจ จนในที่สุดตำรวจ และประกันของตนมาถึง ก็เดินทางไปที่ สภ.พุทธมณฑล เจ้าของพื้นที่ และตนแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้ต่อหน้าพนักงานสอบสวน ซึ่งตำรวจที่เป็นคนรับเรื่อง ไม่ได้มีการเข้ามาพูดคุยกับตนในฐานะผู้ขับขี่แม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับไปพูดคุยกับประกันของตนว่า ทำไมถึงมีการชนกันถึง 3 ครั้ง ทำไมไม่หยุดจอดรถตั้งแต่การชนครั้งแรก รวมถึงคู่กรณีเองก็ไม่ได้มีการมาพูดอะไรกับตนที่โรงพัก แต่กลับพาญาติพี่น้องเดินทางตามมาสมทบ 5-6 คน


เมื่อทั้งหมดมาถึงต่างเดินมามองหน้าตน ขณะนั้นตนยอมรับว่ารู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย เพราะตนอยู่เพียงลำพัง เหตุการณ์ในวันดังกล่าวจบลงที่ตนได้ใบบันทึกประจำวัน แต่ไม่ได้มีผลทางคดีจากพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนว่าใครเป็นผู้ผิดจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่กลับบอกว่าต้องใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม อาทิ กล้องวงจรปิดของถนน และคู่กรณีเดินทางมาโดยให้เหตุผลว่าต้องดูหลักฐานอื่นประกอบว่าใครเป็นคนที่เริ่มกระทำประมาทก่อน อาจะใช้เวลาประมาณ 7-8 วัน ตนก็ไม่เข้าใจในจุดนี้ เพราะตนมีกล้องหน้ารถที่บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ได้อย่างชัดเจนและเมื่อมีการสอบถามว่าทำไมถึงไม่ดูกล้องของตน ตำรวจกลับบอกว่าทำไมต้องดู และมีการพูดจาคล้ายไม่อยากรับคดีของตน จึงทำให้เกิดความไม่สบายใจ ไม่มีความคืบหน้า


"เชื่อว่าผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน อาจจะต้องเจอคนลักษณะแบบนี้ ที่ขับรถในลักษณะยั่วยุ อยากฝากถึงผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน ให้ใช้ความระมัดระวัง และหากเจอเรื่องให้รีบติดต่อแจ้งไปที่ตำรวจ และต้องดูแลตัวเอง เรื่องนี้หนูมองว่ากฎหมายจราจรอ่อนมาก จึงอยากบอกว่าถ้าใช้รถ ควรมีประกันและปล่อยให้ประกันเป็นคนดำเนินการเจรจาเรื่องทั้งหมดแทนตัวเอง อยากฝากไปถึงคนที่ใช้รถใช้ถนนที่เป็นประเภทควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้" ผู้เสียหาย กล่าวทิ้งท้าย 


พ.ต.อ.จุลภณ มีชำนาญ ผกก.สภ.พุทธมณฑล ระบุว่า ในคดีนี้ตนได้รับรายงานมาจากเจ้าของสำนวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเบื้องต้นมีการรายงานชี้แจงว่าขณะนี้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานสภาพแวดล้อม เนื่องจากว่าไม่ใช่คดีจราจรตามปกติ เพราะทั้งคู่มีการขับขี่ปาดกันไปมายาวไกลถึง 10 กิโลเมตร พนักงานสอบสวนต้องอาศัยพยานแวดล้อมมาตรวจสอบว่าใครที่เข้าข่าย ในการกระทำความผิดในครั้งนี้ ซึ่งในคดีจราจรแบบนี้ไม่จำเป็นเสมอไปว่าพนักงานสอบสวนจะชี้ว่าใครผิดใครถูกได้เลย เพราะหากไม่ชัดเจนพนักงานสอบสวนก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อให้แน่ชัดถึงการกระทำความผิด ก่อนจะมีการแจ้งว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด และดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งจากที่ตนได้ตรวจสอบพบว่าจากวันเกิดเหตุ มาจนถึงวันนี้ยังอยู่ในช่วงระยะเวลาที่พนักงานสอบสวนสามารถ ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานได้ ยังไม่เกินข้อกำหนด และเบื้องต้นตนได้กำชับให้เร่งรัดการดำเนินคดีไปแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่นาน

คุณอาจสนใจ

Related News