สังคม

ผบ.ตร.รับส่วยสติกเกอร์มีจริง - 'วิโรจน์' ชื่นชมสปิริตผู้การทางหลวง ชี้ 4 ธงสำคัญ แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น แค่ปราบไม่จบ

โดย nattachat_c

1 มิ.ย. 2566

356 views

จากกรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล ออกมาแฉเรื่องส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก ซึ่งได้จัดทำเป็นรูปพระอาทิตย์ยิ้ม ตัวการ์ตูน และอื่นๆ โดยอ้างว่าสามารถผ่านได้ทุกด่าน ไม่ถูกตำรวจทางหลวงจับกุม ไม่ว่าจะบรรทุกน้ำหนักเกินแค่ไหนก็ตาม จนล่าสุด ได้มีการออกมาแฉถึงส่วยสติกเกอร์จากหลากหลายธุรกิจ เช่น แผงขายล็อกเตอรี รถรับ-ส่งนักเรียน และอื่นๆ


วานนี้ (31 พ.ค. 66) พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวโดยเร็วแล้ว


ขณะเดียวกัน ทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบร่วมด้วย พร้อมแต่งตั้ง พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) มารักษาราชการในตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เพื่อให้ตรวจสอบในประเด็นส่วยสติกเกอร์ และจะมีการตั้งชุดเฉพาะกิจของตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย


ทั้งนี้ เบื้องต้นยอมรับว่า มีเรื่องส่วยจริง และเป็นเรื่องที่ได้ยินมานานแล้ว อาจหายไปเป็นบางช่วงเวลา แต่เมื่อช่วงนี้กลับมาเป็นข่าวอีก จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบโดยเร็ว ซึ่งเรื่องส่วยนั้นมีทั้งผู้รับและผู้ให้ โดยผู้ให้คือระบบขนส่ง ส่วนผู้รับเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จึงต้องให้ผู้บังคับการ ปปป. เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวในทุกมิติ


ส่วนการสั่งย้ายผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เข้ามาปฏิบัติราชการที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางนั้น เพื่อเปิดทางให้จเรตำรวจแห่งชาติสามารถการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้โดยอิสระ และส่งข้อมูลให้กับคณะกรรมการ เนื่องจากจะมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนเรื่องตำรวจ (ก.ร.ตร.) ร่วมพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมด


นอกจากนี้ ยังได้สั่งให้มีการขยายผลไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หากพบว่ามีความผิดจริงก็จะดำเนินการโดยไม่ละเว้น ส่วนเรื่องส่วยสติกเกอร์ที่มีการเผยแพร่ลงในโซเชียลมีเดียนั้น ก็ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว ซึ่งบางส่วนเป็นข้อมูลเก่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย วอนประชาชนที่จะโพสต์แชร์ข้อมูล ให้ตรวจสอบให้รอบคอบก่อน มิฉะนั้น อาจเป็นการปรักปรำเจ้าหน้าที่ได้


ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การประกาศสงครามกับส่วยสติกเกอร์ แต่เป็นการปฏิบัติงานตามปกติของเจ้าหน้าที่ ที่จะต้องกวาดล้างส่วยสตติกเกอร์ให้หมดไป

-------------

วันที่ 31 พ.ค. (เวลา 13.00 น.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รักษาราชการแทน ผบก.ทล. เรียกตำรวจทางหลวงเข้าร่วมประชุม เพื่อหารือถึงแนวทางการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นส่วยรถบรรทุก


โดยเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงระดับผู้กำกับการมาประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการต่อไปและกำหนดแก้ไขปัญหาเรื่องเร่งด่วน เบื้องต้น ภายหลังประชุมจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับคำสั่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


สำหรับเรื่องการพิจารณาเอาผิดนั้น เป็นนโยบายของ ผบ.ตร. เน้นย้ำในการกวาดบ้านตัวเอง และในฐานะตำรวจทางหลวง ไม่อยากตอบว่ามันไม่มีเรื่องส่วยเกิดขึ้น เพราะมันอยู่ในพรมมานาน


ขอบคุณนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผย และต้องขอขอบคุณสมาพันธ์รถบรรทุกแห่งประเทศไทยที่เข้ามาให้ข้อมูล


นอกจากนี้ ในฐานะที่ตนได้รับมอบหมายให้มาดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้ ยืนยันว่า จะนำพาหน่วยนี้ให้ไปในทางที่ถูกต้อง หากข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจรายใด เข้ามาเกี่ยวข้อง จะต้องถูกดำเนินการเช่นเดียวกัน


อีกทั้ง ในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ตนจะแก้ไขทั้งระบบไปด้วยกันไม่แก้เฉพาะจุด อะไรที่ถูกหมักหมมมานาน หรือมีความเหลื่อมล้ำก็จะแก้ไขปรับปรุงไปด้วย


ไม่มีความหนักใจที่ต้องเข้ามาแก้ไขเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่นายวิโรจน์พูดนั้นมันถูกต้องทุกอย่าง แค่ต้องทำให้ถูกต้องตามแนวทาง และตำรวจทางหลวงจะต้องเป็นหน่วยงานที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีมากกว่านี้ เพื่อรองรับนโยบายรัฐบาล


ส่วนกรณี มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหนนั้น ขณะนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และตนจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้ด้วย เราจะไม่ให้ความช่วยเหลือใคร ใครทำอะไรไว้ก็จะต้องรับในสิ่งนั้นไม่มียกเว้นแน่นอน


ตนทำงานมาเยอะ มีพื้นฐานการทำงานในสิ่งอยุติธรรมมาเยอะ จะไม่ทำให้ ปปป.เสื่อมเสีย ตนมาตรงนี้แม้มาแก้ไขในช่วงสั้นๆ แต่ก็จะยกเลิกคำสั่ง แก้ไข ปรับปรุง และบังคับใช้กฎหมายโดยเท่าเทียมกัน


ทั้งนี้ ในบรรดาหน่วยเฉพาะกิจ ตนจะยกเลิกทั้งหมด อะไรที่เป็นปัญหาส่อทุจริต อาจจะพิจารณายกเลิกในวันนี้ และหลังประชุมเสร็จสิ้นอาจจะสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร


ในที่ประชุมมีแผนการเร่งด่วน มีคำสั่งให้ยกเลิกชุดเฉพาะกิจของกองบังคับการตำรวจทางหลวงโดยทันที ทั้งวาจาและลายลักษณ์อักษร หลังพบว่า เป็นชุดที่มีปัญหา และทำงานทับซ้อนกับตำรวจทางหลวงในพื้นที่ โดยชุดเฉพาะกิจจากการตรวจสอบเบื้องต้น ถูกแต่งตั้งในยุคของผู้บังคับการตำรวจทางหลวงคนที่ผ่านมา แต่ต้องตรวจสอบก่อนว่าใครเป็นผู้เซ็นชื่อในใบหนังสือแต่งตั้ง


สำหรับชุดเฉพาะกิจมีหน้าที่ดูแลในเรื่องของรถบรรทุกหนัก ซึ่งเป็นการทำงานซ้ำซ้อน และมีปัญหากับส่วนงานที่ดูแลรับผิดชอบในพื้นที่ ซึ่งหากพบว่าชุดนี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับส่วยรถบรรทุกก็จะไม่เอาไว้ ยืนยันไม่กังวลที่เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ถึงแม้ตัวเองเคยดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจทางหลวงมาก่อนก็ตาม


ตนได้สั่งการให้ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศเร่งตรวจสอบเรื่องสติ๊กเกอร์ ถ้าส่อว่ามีการทุจริต ขอให้รวบรวมมาเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนสืบสวนดำเนินการ แม้ว่าท้ายสุดจะมีบุคลากรตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง ตนก็ไม่หนักใจ ถึงจะเสียบุคลากรก็ต้องยอมรับความจริง


อย่างไรก็ตาม เรื่องกรอบระยะเวลาการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงปัญหาเรื่องนี้ ตนขอไม่ช้า เพราะเป็นคนทำงานเร็ว ลูกน้องต้องเดินตามให้ทัน


ส่วนเรื่องเส้นเงิน ถ้าพบข้อเท็จจริงจะประสาน ปปป. เข้ามาดูในเรื่องการทุจริต โดยจะทำควบคู่กัน อาจจะเรียกเข้ามาพูดคุย จากนั้นจะมีขั้นตอนดำเนินการอีกครั้งในภายหลัง

--------------

วานนี้ (31 พ.ค. 66) เวลาประมาณ 14.30 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้โพสต์ข้อความว่า 


"ผมขออนุญาตชี้แจงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการย้ายท่านผู้การ ตร.ทางหลวง ที่ปรากฏตามหน้าสื่อจำนวนไม่น้อยว่า ท่านถูกเด้งบ้าง ถูกสั่งย้ายบ้าง ซึ่งข้อเท็จจริง  คือ


ท่านผู้การ ตร.ทางหลวง พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ท่านไม่ได้ถูกสั่งย้าย หรือถูกเด้งแต่อย่างใดนะครับ แต่ท่าน #แสดงสปิริตขอย้ายตนเอง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง


ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของการแสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ที่ปรากฏได้น้อยมากๆ ในแวดวงราชการไทย


ซึ่งผมต้องขอแสดงความชื่นชมในสปิริต และมาตรฐานทางจริยธรรมของท่านผู้การ ตร.ทางหลวง ไว้ ณ ที่นี้ครับ

--------------
วานนี้ (31 พ.ค. 66) เวลาประมาณ 17.00 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้ทวีตข้อความว่า


"การที่ท่านผู้การจรูญเกียรติ ยอมรับว่ามีปัญหา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี การแก้ปัญหาส่วย แค่ปราบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องแก้กฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายที่เข้าข่ายการกลั่นแกล้งรังควานด้วย ให้คนดีได้เติบโต ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ก็จะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน"
--------------

วานนี้ (31 พ.ค. 66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เปิดเผยถึงกรณีส่วยรถบรรทุกว่า ตนเองตั้งใจเอาจริงเอาจังจะจัดการกับเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นปัญหาที่สะสมมานานมากกว่า 10 ปี


ส่วนที่จเรตำรวจแห่งชาติ จะเชิญตนเองเข้าไปให้ข้อมูลนั้น เบื้องต้น ได้รับการประสานมาจากพ.ต.อ.สมยศ ศรีเรือง รองผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 3 สำนักงานจเรตำรวจ แต่ยังไม่ได้คุยรายละเอียดเรื่องวันเวลาที่จะนัดหมายเข้าไปให้ข้อมูล


ซึ่งมองว่า คงจะเข้าให้ข้อมูล หลังจากที่ได้หารือกับสมาคมขนส่งทางบก ในวันนี้ (1 มิ.ย. 66) ก่อน เพื่อจะได้มีข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้น และมองว่า ก็ควรจะเข้าไปให้ข้อมูลพร้อมกับสมาคมขนส่งทางบก เพราะจะได้ประหยัดเวลาด้วย


ทั้งนี้ หากมองจากกระแส ภายหลังจากที่ได้เปิดโปงข้อมูลออกไปแล้ว มีการเคลื่อนไหวทั้งการสั่งย้ายต่างๆ ก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ดี เพราะวงการเรียกรับผลประโยชน์แบบนี้ มันไม่มีใครได้ประโยชน์ มีแต่เป็นพิษเป็นภัย


โดย ในวันนี้ (1 มิ.ย. 66) เวลา 14.00 น. สมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ประมาณ 30 คน จะเข้ายื่นหนังสือ และเข้าพบกับนายวิโรจน์ เพื่อหารือถึงเกี่ยวกับการปราบปรามส่วยทางหลวงพิเศษ และร่วมกันในการแก้ไขปัญหากับผู้ประกอบการ ก่อนจะแถลงข่าวกับสื่อมวลชนที่พรรคก้าวไกลด้วย

--------------

วันนี้ (1 มิ.ย. 66) เวลาประมาณ 05.20 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้โพสต์ข้อความว่า


[ 4 ธงสำคัญ แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น แค่ปราบอย่างเดียว ไม่จบ! ]


พอพูดถึงปัญหาการคอรัปชั่นในประเทศไทย ที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าไม่มีการปราบปรามนะครับ ก็มีการปราบกันเป็นระยะๆ แต่พอสักพัก การคอร์รัปชั่ ก็กลับมาใหม่ นั่นเป็นเพราะว่า เราเน้นแก้ปัญหาที่ตัวบุคคล แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่โครงสร้างเลย


ดังนั้น การที่จะแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นที่ดีที่สุด จะต้องไม่ใช่แค่ปราบ แต่ต้องแก้ไขที่โครงสร้างด้วย และต้องทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ร่วมกัน จากระบบที่ปราศจากคอร์รัปชั่น ทำให้การคอร์รัปชั่น มีกระบวนการที่วุ่นวายกว่าการทำงานตรงไปตรงมา ตราบใดก็ตามถ้ายังมีการสมประโยชน์กันของการให้และรับสินบน การทุจริตคอร์รัปชั่นก็จะผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ไม่มีวันหมดไป


ผมจึงคิดว่า การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ต้องมีธงสำคัญในการแก้ไขปัญหาอยู่ 4 ด้าน ด้วยกัน คือ


1) การสร้างระบบที่ข้าราชการที่ดีมีโอกาสที่จะเติบโตในหน้าที่การงาน

ข้าราชการระดับปฏิบัติงานได้รับสวัสดิการที่ดี มีขวัญ และกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต ต้องไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง ไม่มีระบบตั๋ว เพราะถ้าได้ตำแหน่งมาด้วยการซื้อ ก็ไม่วายต้องใช้อำนาจจมาถอนทุนคืน หรือไม่ก็ต้องตอบแทนมาเฟียเจ้าของทุน


2) การปราบปรามวงจรส่วยอย่างครบวงจร ไม่ใช่แค่จับปลาซิวปลาสร้อย

ดังนั้น การมี พ.ร.บ.ปกป้องผู้เปิดโปงเบาะแสการคอร์รัปชั่น (Whistle Blower Protection Act)  จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากผู้เปิดโปงการทุจริต ได้รับการกันตัวไว้เป็นพยาน และได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างดี เมื่อไหร่ก็ตามที่เครือข่ายการทุจริตขยายวง จนผลประโยชน์ไม่ลงตัว เมื่อการเปิดโปงเกิดขึ้น ก็จะทำให้รัฐมีหลักฐานเพียงพอ ที่จะทลายเครือข่ายการทุจริตได้แบบยกรัง


3) การแก้ไขกฎหมายที่เวิ่นเว้อวุ่นวาย

มีงานธุรการเต็มไปหมด ให้ดุลยพินิจกับเจ้าหน้าที่มากจนเกินไป เนื้อหา และหลักเกณฑ์ในกฎหมายไม่สมเหตุสมผล ขัดกับมาตราฐานสากล ไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง กฎหมายแบบนี้ จะทำให้คนที่ตั้งใจทำธุรกิจอย่างสุจริต ต้องมาผิดกฎหมายอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ทำให้ข้าราชการที่ไม่ดีบางคน เอากฎหมายแบบนี้มาใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง รังควาน เพื่อเรียกรับผลประโยชน์


อย่างกรณี #ส่วยทางหลวง ก็ต้องมาทบทวนว่า การกำหนดให้รถพ่วง ไม่ว่าจะ 6 เพลา 20 ล้อ 6 เพลา 22 ล้อ หรือ 7 เพลา 24 ล้อ ที่แต่เดิมมีน้ำหนักจำกัดที่ 52 ตัน 53 ตัน และ 58 ตัน อยู่ดีๆ คสช. ก็เปลี่ยนมาให้มีน้ำหนักจำกัดเท่ากันที่ 50.5 ตัน เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 57 นั้นสมเหตุสมผลตามหลักวิศวกรรม หรือไม่ หรือเป็นการปรับหลักเกณฑ์ เพื่อหมายให้คนที่ทำถูกกฎหมายอยู่ดีๆ กลายเป็นคนที่ผิดกฎหมายไปซะอย่างนั้น


โดยทั่วไปแล้ว การจำกัดน้ำหนักรถบรรทุก ต้องพิจารณาจากน้ำหนักเฉลี่ยต่อล้อ ไม่ใช่น้ำหนักรวม ถ้าน้ำหนักบรรทุกมาก แต่มีจำนวนล้อมากเพียงพอที่จะถ่ายน้ำหนักลงพื้นถนน ก็จะไม่เป็นปัญหา ซึ่งในเรื่องนี้หลักเกณฑ์การจำกัดน้ำหนักของรถบรรทุก สามารถปรึกษาวิศวกรรมสถาน แห่งประเทศไาย หรือสภาวิศวกร ให้ทบทวนตามหลักวิศวกรรม แล้วกำหนดเกณฑ์ใหม่ให้มีความสมเหตุสมผลได้เลย ถ้ากฎหมายมีความสมเหตุสมผล ไม่มีใครอยากจ่ายส่วยหรอกครับ


4) การนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ และลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ลง เช่น 

  • การทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ ลดงานธุรการ และขั้นตอนการขออนุญาตที่ซ้ำซ้อนลง
  • การเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส
  • การใช้ AI จับพิรุธของการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ


อย่างกรณี #ส่วยทางหลวง ถ้าเราเปลี่ยนระบบการชั่งน้ำหนัก จากการต่อคิวเข้าด่านชั่ง ให้กลายเป็นระบบ "การชั่งน้ำหนักขณะรถวิ่ง (Weigh In Motion หรือ WIM)" ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวชั่งน้ำหนัก คันไหนบรรทุกน้ำหนักเกิน ก็จะถูกออกใบสั่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยทันที แล้วให้ไปจ่ายค่าปรับผ่านระบบธนาคาร


สรุปก็คือ การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น จะใช้แค่การปราบอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องแก้ที่โครงสร้างด้วย ถ้าปราบอย่างเดียว อีกสักพักก็จะกลับมาใหม่ ถ้าเราทำควบคู่กันไป ทั้งการปราบปราม การปรับปรุงกฎหมายให้สมเหตุสมผล การมีระบบคุณธรรมส่งเสริมคนดีให้เติบโตมีความก้าวหน้าในอาชีพ และการใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุน ในที่สุด ปัญหาการคอร์รัปชั่น ก็จะถูกจัดการให้หมดไปอย่างถาวร และยั่งยืน

--------------

วันที่ 30 พ.ค. 66 เวลาประมาณ 10.30 น. นายรังสิมันต์ โรม ได้โพสต์ข้อความว่า


[รากฐานของ “สติกเกอร์ส่วยทางหลวง” คือระบบตั๋วในวงราชการ ที่รัฐบาล “พิธา” จะจัดการให้ได้]


จากกรณีที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้เปิดประเด็นเกี่ยวกับสติกเกอร์พิสดารที่มีคนกลุ่มหนึ่งคอยขายให้กับรถบรรทุกขนส่งต่างๆ แลกเปลี่ยนกับการให้ผ่านด่านทางหลวงได้โดยไม่ต้องชั่งน้ำหนักว่าบรรทุกเกินหรือไม่ หรือตรวจว่าขนของผิดกฎหมายมาหรือไม่


พูดง่ายๆ ตรงๆ นี่คืออีกรูปแบบหนึ่งของการเก็บส่วย เป็นอีกหนึ่งธุรกิจสีเทาที่คนในวงการขนส่งรู้กันว่ามีอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด ในขณะที่คนขายสติกเกอร์เหล่านี้กอบโกย ประเทศกลับต้องเสียรายได้จากการเก็บค่าผ่านทางตามกฎเกณฑ์ที่ควรได้รับ อาจถึงหลักหมื่นล้านบาท ถนนที่รับน้ำหนักเกินต้องชำรุดทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว จนอาจต้องเป็นภาระต่อภาษีประชาชนเพิ่มขึ้นไปอีก


หรือมากไปกว่านั้นคือบรรดาสิ่งไม่พึงประสงค์ ที่อาจเล็ดรอดการตรวจสอบและกระจัดกระจายไปสร้างปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นยาเสพติด อาจเป็นอาวุธเถื่อน หรือแม้แต่คนตัวเป็นๆ ที่ถูกนำไปใช้แรงงานทาสก็เป็นได้


และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่สายตาของสังคม จับจ้องไปยังหน่วยงานราชการอย่างกรมทางหลวง หรือตำรวจทางหลวง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ ที่จะต้องป้องกันไม่ให้การเก็บส่วยแบบนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อในความเป็นจริงมันกลับเกิดขึ้นแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสงสัยว่า เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานดังกล่าวมีเอี่ยวด้วยหรือไม่


ในโพสต์นี้ผมขอขยายประเด็นต่อเนื่องไปจากที่คุณวิโรจน์เปิดไว้ ซึ่งก็จะกลับไปเน้นย้ำสิ่งที่ผมเคยพูดถึงอยู่หลายครั้ง ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นรากฐาน เป็นต้นตอสำคัญของการมีส่วยไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม นั่นคือการมีอยู่ของระบบเส้นสาย ระบบตั๋ว และการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในหมู่ข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจที่ผมพูดถึงบ่อยมาก หรือข้าราชการอื่นๆ ก็ตาม


ภายใต้ระบบเช่นนี้ ผู้ที่จะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้เลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตได้ ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามขอบข่ายความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้นๆ แต่กลับวัดกันที่ความสามารถในการหาเงิน หรือผลประโยชน์อื่นๆ มาตอบแทนให้กับ “นาย” ที่คอยขายตั๋วให้


หามาให้ได้ โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะถูกหรือผิดอย่างไร ไม่ต้องสนใจว่าวิธีการที่ทำมันจะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใครบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้ว ช่องทางหาเงินและผลประโยชน์ที่ข้าราชการเหล่านี้สามารถอ้างใช้อำนาจของตัวเองกอบโกยมาได้ง่ายที่สุด ก็หนีไม่พ้นธุรกิจมืดนั่นเอง


ถ้าระบบแบบนี้ยังมีอยู่ การเก็บส่วยก็ไม่มีวันที่จะหมดไป ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งที่กำลังจัดตั้งขึ้น จะต้องจัดการให้ได้โดยเด็ดขาด รัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมือง ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุด ชื่อว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”


ด้วยหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร ที่จะต้องควบคุมการปฏิบัติงานของข้าราชการในทุกกระทรวง ทุกกรม รวมถึงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจทั้งประเทศ นี่คือภารกิจสำคัญในการปฏิรูประบบราชการ ที่ทั้งคุณพิธาและพรรคก้าวไกลจะต้องบรรลุผลให้ได้ ภายในอายุการทำงานของพวกเราครั้งนี้


ถึงเวลาลอกสติกเกอร์ที่ติดประจานความโสมมของประเทศนี้ แล้วชำระล้างเสียใหม่ให้กลายเป็นประเทศที่ทั้งข้าราชการและประชาชน สามารถได้ดิบได้ดีไปด้วยกันผ่านการปฏิบัติต่อกันอย่างสุจริตซื่อตรง มิใช่เป็นนาบนหลังคน ให้ใครมาเก็บเกี่ยวกิน โดยเบียดเบียนคนอื่นๆ ในสังคมอีกต่อไป

--------------

วานนี้ (31 พ.ค. 66) นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีสสวยสติกเกอร์รถบรรทุก ครั้งที่ 1 หลังจากที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาเปิดเผยว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องในกระบวนการสติกเกอร์ส่วยรถบรรทุก


โดยระบุ ด่านช่างน้ำหนักในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคมนั้น ตามแผนแล้วจะจัดตั้งด่านทั้งหมด 128 ด่าน แต่ขณะนี้ จัดตั้งแล้วเสร็จ 97 ด่าน ทั่วประเทศ ที่สามารถใช่งานได้ โดยจะมีระบบอัตโนมัติคัดกรองรถบรรทุ เบื้องต้น หากพบว่า รถคันใดบรรทุกน้ำหนักเกิน จะถูกเรียกเข้ามาตรวจสอบภายในด่าน ที่มีการเชื่อมสัญญาณตรวจสอบไปพร้อมกันกับส่วนกลาง ซึ่งต่อให้รถบรรทุกจะมีสติกเกอร์ หรือไม่มีสติกเกอร์ตัวเลขก็จะไม่สามารถแก้ไขใดๆ ซึ่งรุ่นดังกล่าวทางกรมทางหลวง มีแผนการที่จะประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบอย่างโปร่งใส โดยการทำคลิปวิดีโอเปิดเผยถึงขั้นตอนการทำงานของด่านแต่ละด่าน อีกทั้ง จะเชิญทางสื่อมวลชนเข้าไปติดตามการทำงาน เพื่อความโปร่งใส


นอกจากนี้ ทางกระทรวงได้มีการตั้งกรรมการเข้ามาตรวจสอบ ในประเด็นต่างๆ ที่สังคมออนไลน์ตั้งคำถาม และตั้งข้อสังเกตในประเด็นอื่นๆ ถึงความไม่โปร่งใส


ส่วนกรณีที่ มีข่าวว่า เจ้าหน้าที่กรมขนส่งทางบก ถูกระบุว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินบนส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุก ยืนยันว่า ขอบเขตหน้าที่ของกรมขนส่งทางบกนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชั่งน้ำหนักรถ ตามที่นายวิโรจน์ระบุว่าสามารถผ่านด่านช่างน้ำหนักฉลุย เพราะกรมขนส่งทางบกมีอำนาจหน้าที่เพียงจดทะเบียนตัวรถ และตรวจสอบดูว่ารถมีการตัดแต่ง ตัดต่อเพิ่มเติมหรือไม่ เท่านั้น


ส่วนรายละเอียด ขณะนี้ได้สั่งการให้กรมขนส่งทางบกไปตรวจสอบประเด็นที่มีการร้องเรียนอื่นๆ ทั้งหมด แม้ว่าจะไม่ตรงกับที่นายวิโรจน์ระบุก็ตาม เพราะการทำงานทั้งหมดผ่านระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีฐานข้อมูลปรากฏอยู่แล้ว ไม่สามารถแก้ไข และสามารถตรวจสอบได้


แต่อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่กรมขนส่งทางบกมีรางวัลนำจับ หลังศาลพิพากษา โดยแบ่งเป็น 20% เข้ากระทรวงการคลัง อีก 20% เป็นการบริหารของชุดจับกุม ส่วนอีก 60% เป็นรางวัลนำจับให้แก่ผู้ชี้เบาะแส


โดยหลังจากนี้จะมีการนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 9 มิถุนายน 2566 พร้อมกับยืนยันว่า หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รายใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุกนั้น ก็จะดำเนินการโดยไม่ละเว้น / ยืนยันว่า ในกระบวนการตรวจสอบนั้น กระทรวงคมนาคมดำเนินการไม่ล่าช้า

-------------











คุณอาจสนใจ

Related News