สังคม
จ.ส.ท.แฮกเกอร์ 9Near คอตกเข้าเรือนจำทหาร อ้างซื้อข้อมูลมา 8 พันบาท กองทัพขออภัย กำลังพลทำผิด กม.
โดย nattachat_c
13 เม.ย. 2566
41 views
จ่าสิบโทเขมรัตน์ แฮกเกอร์ 9Near ล้วงข้อมูล 55 ล้านคนไทย คอตกเข้าเรือนจำทหาร พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกัน หลังเข้ามอบตัวกับ ตำรวจไซเบอร์ ช่วงเช้า และถูกคุมตัวค้นบ้าน พบอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์เพียบ เจ้าตัวยกมือไหว้ขอโทษคนไทย ทำตื่นตระหนก ย้ำไม่ได้ตั้งใจ
ผู้การตำรวจไซเบอร์ เผย จ่าสิบโท สารภาพ ซื้อข้อมูลจากดาร์กเว็บ 8 ล้านรายชื่อ 8 พันบาท เคยโพสต์ลงโซเชียลแต่ไม่มีคนสนใจ จึงนำข้อมูลคนมีชื่อเสียงส่งหาเจ้าตัว จนกระแสดัง ทำตกใจหนีไปเชียงราย เร่งสอบละเอียดหาแรงจูงใจที่แท้จริง ชัยวุฒิ ชี้ การทำผิดของจ่าสิบโทเขมรัตน์ ไม่ใช่แฮกข้อมูล พบทำคนเดียว มองไม่เกี่ยวการเมืองช่วงเลือกตั้ง เพราะไม่ได้ใช้ระบบดิจิทัล
กองทัพบกขออภัยกำลังพลทำผิดกฎหมาย เร่งช่วยตำรวจหาหลักฐานคดี ชี้เหตุนี้เป็นการกระทำความผิดส่วนบุคคล อยู่ในระหว่างการพิจารณาโทษจากทางราชการ
วานนี้ (12 เม.ย.) เวลา 10.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) นายทหารพระธรรมนูญ นำตัว จ่าสิบโท เขมรัตน์ ทหารสังกัด ขส.ทบ (แฮกเกอร์ '9Near') ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาฐานกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กรณีแฮกข้อมูลคนไทย 55 ล้านรายชื่อ ไปขายในเว็บไซต์ เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนตำรวจไซเบอร์
ระหว่างที่รถตู้มาจอดหน้าอาคาร สอท.ไม่ปรากฏตัวจ่าสิบโทเขมรัตน์ และภรรยา มีเพียงนายทหารพระธรรมนูญ 2 นาย เดินลงมาจากรถ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม โดยนายทหารพระธรรมนูญ ระบุว่า ขณะนี้ จ่าสิบโทเขมรัฐ อยู่ในการควบคุมของทหารแล้ว ส่วนรายละเอียดขอให้ทางโฆษกกองทัพบกเป็นผู้ชี้แจง ส่วนภรรยาของจ่าสิบโทรายดังกล่าว ที่ถูกออกหมายเรียกก่อนหน้านี้นั้น ยังไม่ทราบรายละเอียดเพิ่มเติม
โดยพนักงานสอบสวนใช้เวลาตลอดทั้งวัน ทำการสอบปากคำ จ่าสิบโทเขมรัตน์ และแจ้งข้อกล่าว จากนั้นนายทหารพระธรรมนูญรับมอบตัว จ่าสิบโทเขมรัตน์ จากพนักงานสอบสวนตำรวจไซเบอร์ เพื่อนำตัวไปควบคุมไว้ตัวที่เรือนจำทหารเพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนของศาลทหารต่อไป
แต่หากการรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่าภรรยาของ จ่าสิบโท เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะต้องถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันกระทำความผิด จ่าสิบโทเขมรัตน์ ก็จะต้องไปขึ้นศาลพลเรือนเพราะมีประชาชนเข้าร่วมกระทำความผิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวภรรยาของจ่าสิบโทเขมรัตน์ พร้อมสอบปากคำเรียบร้อยแล้วแต่อยู่ระหว่างการพิจารณาพยานหลักฐานและคำให้การว่าเข้าข่ายกระทำความผิดด้วยหรือไม่
จากนั้น 13.00 น. ใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. ได้นำตัว จ่าสิบโทเขมรัตน์ ลงมาจากชั้น 19 โดยผู้สื่อข่าวพยามสอบถาม เจ้าตัวใส่แมสและแว่นตาดำ สวมหมวกแก๊ป ใส่เสื้อคลุมพร้อมยกมือไหว้พูดว่า “รอฟังแถลงข่าวครับ” ก่อนพยายามเดินฝ่าวงล้อมนักข่าวขึ้นรถ เพื่อนำชี้ห้องพักเก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ในการแฮกข้อมูล
14.00 น. เจ้าหน้าที่นำตัว จ่าสิบโทเขมรัตน์ กลับมาที่ สอท.อีกครั้งเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม เจ้าตัวยกมือไหว้พร้อมกล่าวว่า “ผมขอโทษคนไทยทุกคนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ตื่นตระหนกเกิดขึ้น และผมไม่ได้ตั้งใจ ให้เกิดเหตุการณ์อย่างงี้ ส่วนเรื่องข้อมูลทั้งหมดตอนนี้ผมยังไม่ได้เผยแพร่ไปที่ไหน ยืนยันผมไม่ได้เผยแพร่” นักข่าวถามว่าข้อมูลที่ซื้อมาเป็นข้อมูลเกี่ยวกับอะไร จ่าสิบโทเขมรัตน์ ระบุว่า “ผมขอให้การและรอฟังจากเจ้าหน้าที่” นักข่าวถามว่าทำไปทำไม เจ้าตัวไม่ตอบก่อนจะเดินเข้าลิฟท์ไป
ขณะที่ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพ รวมทั้งพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ได้มานั้นมีความสอดคล้องกับคำให้การ เบื้องต้นผู้ต้องหาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีความรู้ในด้านไอที
และมีความสนใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองอยู่ในเว็บไซต์ Bleach Forums ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่แฮกเกอร์นิยมใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนข้อมูลผิดกฎหมายหรือไม่ จึงเข้าไปตรวจสอบและพบว่ามีข้อมูลของตนเองอยู่จริง จึงได้ติดต่อขอซื้อข้อมูลส่วนตัวคนไทยเพิ่มจากเว็บ จำนวน 8,000,000 เรคคอร์ด เป็นเงิน 8,000 บาท จากเว็บไซต์ดังกล่าว
จากนั้นได้นำรายชื่อส่วนหนึ่งโพสต์ขึ้นโซเชียลมีเดียแต่ยังไม่ได้รับความสนใจ จึงได้นำข้อมูลส่วนตัวของคนมีชื่อเสียงโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียและส่งข้อความไปหาเจ้าของข้อมูล จนเกิดเป็นกระแสขึ้นมา ทำให้รู้สึกตกใจจนต้องหลบหนีไปยังสถานที่ต่างๆ เพียงคนเดียว
ส่วนพื้นที่ก่อเหตุนั้นยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นยังบริเวณห้องพัก และสถานที่อื่นๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อค้นหาอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหายืนยันว่าเป็นการซื้อข้อมูลไม่ใช่การแฮกข้อมูล ซึ่งข้อมูลบางส่วนได้ถูกทำลายไปแล้ว และยังไม่ได้นำข้อมูลดังกล่าวไปจำหน่ายแต่อย่างใด ทั้งยังยืนยันว่าข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยที่หลุดไป 55 รายชื่อนั้นไม่เป็นความจริง ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบจำนวนข้อมูลที่รั่วไหลที่แท้จริง
ขณะเดียวกันผู้ต้องหายืนยันว่าเป็นการกระทำเพียงคนเดียว และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าภรรยาของผู้ต้องหาเป็นพยาบาล มีหน้าที่ดูแลคนไข้บนวอร์ด ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลระบบไอที หรือข้อมูลอื่นๆ
16.10 น.หลังจากสอบปากคำเสร็จ ตำรวจได้คุมตัวทจ่าสิบโทเขมรัตน์ นำตัวขึ้นรถส่งศาลทหารทันที โดยท้ายคำร้องจะคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี โดยมีระยะเวลาฝากขังผัดแรก ตั้งแต่วันที่ 12 -23 เมษายน รวมระยะเวลา 12 วัน นักข่าวถามย้ำทำไปเพราะอะไร นำข้อมูลมาจากไหน เจ้าตัวพูดว่า “รอฟังจากแถลงให้รอเจ้าหน้าที่ ให้การไปหมดแล้วครับ”
สำหรับ “จ่าสิบโท เขมรัตน์” จากการสืบสวนพบว่าเป็นนายทหารที่มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก จากการตรวจค้นห้องพักพบมีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการแฮกข้อมูลสำคัญหลายรายการ ซึ่งตำรวจตรวจยึดไว้แล้วและยังพบเครื่องมือกระทำความผิดหลายพื้นที่ โดยมีการลงทุนซื้อเครื่องมือจำนวนมาก
สำหรับสถานภาพทางทหารของผู้ต้องหาได้ขาดราชการตั้งแต่ 3 เม.ย. 66/ โดยเมื่อ 6 เม.ย.66 หน่วยต้นสังกัดมีคำสั่งพักราชการ “จ่าสิบโท” ไว้แล้ว หลังจากที่ศาลได้ออกหมายจับในความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ
-----------
วานนี้ (12 เม.ย.) เมื่อเวลา 12.00 น. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เดินทางมาเข้าร่วมรับฟังการสอบปากคำ จ่าสิบโท เขมรัตน์ สังกัด ขส.ทบ.ผู้ต้องหาในคดีตามความในพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นแฮกเกอร์นาม “9near” ที่นำข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายชื่อ จากหน่วยงานรัฐไปเผยแพร่ผ่านบนโลกออนไลน์ หลังเข้าพบตำรวจพร้อมนายทหารรัฐธรรมนูญเพื่อมอบตัว
นายชัยวุฒิ เปิดเผยก่อนขึ้นไปร่วมรับฟังสอบปากคำว่า วันนี้มาติดตามการสืบสวนสอบสวนของทางตำรวจ เบื้องต้นยังไม่มีข้อมูล ต้องขอพูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน โดยหลังจากนี้เชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมต้องมีการขยายผลไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องว่าคดีนี้เกิดจากอะไรและมีใครเกี่ยวข้องบ้าง แต่ต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนก่อน พร้อมยืนยันว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องถูกดำเนินคดีแน่นอน
ส่วนข้อมูลของภรรยา ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะยังไม่มีข้อมูลเช่นกัน คดีนี้ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่เชื่อว่าเป็นเหตุผลส่วนตัวของผู้แฮก ไม่เกี่ยวกับการเมือง เนื่องจากการเลือกตั้งไม่ได้ใช้ระบบดิจิทัล แต่จะเป็นการดิสเครดิตหรือพยายามพูดไปในเรื่องทางการเมืองหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่เอามาพูดกัน ส่วนมือแฮก จะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองหรือไม่ ยังไม่รู้
เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงข้อมูล 55 ล้านรายชื่อ มีการขายข้อมูลแล้วหรือไม่ นายชัยวุฒิ ระบุว่า ข้อมูลชัดๆ ยังไม่มีการขายหรือให้ข้อมูลไป แต่คาดว่าเป็นการสร้างกระแสและโพสต์ในเฟซบุ๊กหรือสื่อสังคมออนไลน์ให้แตกตื่นเท่านั้น
แต่ในส่วนข้อเท็จจริงหรือเรื่องของความเสียหาย อยู่ระหว่างตรวจสอบ ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าว ถามย้ำอีกว่า ข้อมูลแฮกอยู่ในมือของจ่าสิบโทแล้วหรือไม่ นายชัยวุฒิ ตอบเพียงว่า “ยังไม่ทราบ”
ต่อมา 13.00 น. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) แถลงยืนยันว่า การกระทำผิดของผู้ต้องหาไม่ใช่การแฮกข้อมูล และเป็นการกระทำโดยตัวคนเดียว ซึ่งจากการตรวจสอบให้การรับสารภาพและเป็นไปตามพยานหลักฐาน
ทั้งนี้ ยืนยันว่าที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐได้มีการสร้างระบบป้องกันข้อมูลรั่วไหลเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่เพิ่งประกาศใช้ในปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทย แต่ยอมรับว่าการมีข้อมูลรั่วไหลจากหน่วยงานรัฐในอดีตนั้นตนไม่ทราบรายละเอียด
นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ส่วนจะมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหรือไม่อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของตำรวจไซเบอร์หากพบบุคคลที่เกี่ยวข้องก็จะดำเนินการโดยไม่มีข้อยกเว้น และไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
-----------
วานนี้ (12 เม.ย.) เวลา 15.10 น. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยภายหลังนำคุมตัว จ่าสิบโท เขมรัตน์ ทหารสังกัด ขส.ทบ ไปตรวจค้นห้องพัก เจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ
ทั้งฮาร์ดดิส 7-8 ตัว อุปกรณ์รีโมทควบคุมทางไกล คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ อุปกรณ์สำหรับซ่อมคอมพิวเตอร์ เร้าเตอร์ พ็อกเก็ต Wi-Fi 3 ค่ายโทรศัพท์ ซึ่งเชื่อว่าจ่าสิบโท เชี่ยวชาญมีความรู้ความสามารถไม่ใช่มือสมัครเล่น
การตรวจค้นครั้งนี้ พบพยานหลักฐานเชื่อมโยงกับคำให้การของผู้ต้องหา ว่าเป็นคนซื้ออุปกรณ์มา ทางตำรวจมองว่ากลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีก็จะหาช่องทางที่จะแสดงตัวตนและความสามารถของตัวเอง จึงก่อเหตุดังกล่าวขึ้น
พล.ต.ท.วรวัฒน์ ระบุว่า ส่วนการที่ไปซื้อข้อมูลในดาร์กเว็บ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผล เนื่องจากเป็นเครือข่ายเว็บไซต์ที่ซื้อมาเป็นของต่างประเทศ ส่วนราคาซื้อที่จ่าสิบโทอ้างว่า ซื้อข้อมูลส่วนบุคคลมาในราคา 8,000 บาท นั้นเป็นเพียงคำให้การเบื้องต้น ตำรวจมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่อยู่ที่พยานหลักฐาน
ส่วนเรื่องการนำข้อมูลไปขายต่อหรือไม่นั้น ตามคำให้การยืนยันว่า จากการสอบปากคำมี 3 เจตนา ในการโพสต์ข้อมูลส่วนบุคคลนี้ 1 คือเพื่อต้องการประกาศขาย เนื่องจากต้องการเงิน 2.ต้องการโพสต์ให้คนสนใจ ใช้ข้อมูลของบุคคลมีชื่อเสียง ในลักษณะการข่มขู่ และสุดท้ายพอรู้ว่ามีการติดตามจับกุม ก็การเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องการเมือง
การหลบหนีผู้ต้องหาคิดว่า ตำรวจไม่สามารถจับกุมตัวได้ จึงหลบหนีโดยขับรถไปจังหวัดเชียงราย ระหว่างหลบหนีไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ และทิ้งเครื่องมือสื่อสารทุกอย่าง แต่มีการทิ้งเบาะแสคือการแวะไปหาเพื่อนตามสถานที่ต่างๆ ก่อนมุ่งไปที่จังหวัดเชียงรายเพียงคนเดียว
ขณะที่เส้นทางการเงินจากการตรวจสอบพบว่าไม่มีการเชื่อมโยงไปยังภรรยา เพราะพบว่าในบัญชีภรรยามีจำนวนเงินหลักร้อยเท่านั้น
พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า จากการสืบสวนตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา ตำรวจได้ตรวจสอบอุปกรณ์ที่ใช้ พบ IP อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรงกับที่พักของจ่าสิบโท และเมื่อตรวจพยานแวดล้อมและ สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ก็นำไปสู่การรวบรวมหลักฐานจนสามารถจับผู้ต้องหาได้ในวันนี้
ส่วนข้อสงสัยที่ว่าจะมีบุคคลอื่นหรือมีผู้บังคับบัญชาเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น พล.ต.ท.วรวัฒน์ มองว่าไม่น่าเกี่ยวข้องเนื่องจากการตรวจสอบที่พักพบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง หากมีคนสั่งการหรือมีหน่วยงานที่ควบคุมดูแล ก็ควรจะมีสถานที่ ที่เป็นความลับในการก่อเหตุมากกว่า
-------------
วานนี้ (12 เม.ย.) เวลา 16.30 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ (แห่งใหม่) ในพื้นที่ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศรีสมาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พ.ต.ต.ธิติ เปฎะพันธ์ พนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บช.สอท.) ได้นำตัว จ.ส.ท.เขมรัตน์ บุญช่วย อายุ 33 ปี สังกัด ขส.ทบ. ผู้ต้องหาในความผิดตามความใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นแฮกเกอร์นาม “9near” ที่นำข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายชื่อไปเผยแพร่ผ่านบนโลกออนไลน์ มาฝากขังยังศาลทหารกรุงเทพ
ทั้งนี้พนักงานสอบสวน ได้ทำการสอบสวนหากแต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นเนื่องจากรอผลพิมพ์ลายมือตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหา และยังต้องสอบพยานบุคคลอีก7ปาก พร้อมทั้งรอผลการตรวจสอบสถานะของผู้ต้องหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้ศาลฝากขังผู้ต้องหานี้ไว้กำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.66- 22 เม.ย.66 (ผัดที่ 1)
พร้อมทั้งคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี ประกอบกับการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องใช้พยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ต้องหาอาจจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ที่จะมาใช้เป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมและก่อนหน้านี้ผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี
ศาลทหารกรุงเทพรับฝากขังตามคำร้องของพนักงานสอบสวน พร้อมส่งตัวเข้าเรือนจำมณฑลทหารบกที่ 11 ทันที
-------------
วานนี้ (12 เม.ย.) พล.ต.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ระบุถึงกรณีคดีแฮคเกอร์ “9Near” ซึ่ง จ่าสิบโท ผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ในวันนี้ หลังถูกออกหมายจับในความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ”
ที่ผ่านมากองทัพบกโดยหน่วยต้นสังกัดได้ช่วยติดตามตัวผู้ต้องหามาโดยตลอดการมอบตัวดังกล่าว หน่วยต้นสังกัดได้รับการประสานจากบุคคลใกล้ชิดของกำลังพล จึงได้มอบให้นายทหารพระธรรมนูญจากกรมการขนส่งทหารบก เป็นผู้นำไปมอบตัวพร้อมร่วมรับฟังการสอบสวน รวมทั้งได้ให้ความร่วมมือนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจค้นบ้านพัก เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐาน และจะยังคงอำนวยความสะดวกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในทุกด้าน เพื่อสอบสวนให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี การนำผู้ต้องหาเข้ามอบตัวทำให้คดีเริ่มปรากฎข้อเท็จจริงมากขึ้น และกองทัพบกได้มอบให้หน่วยต้นสังกัดเร่งรัดติดตามความคืบหน้าในทางคดี เพื่อนำผลไปพิจารณาลงโทษทางวินัยต่อไป หลังจากได้สั่งพักราชการไปแล้ว ตั้งแต่ 7 เม.ย. 66
เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นการกระทำความผิดส่วนบุคคล ซึ่งเจ้าตัวได้กล่าวขอโทษต่อสังคม ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และอยู่ในระหว่างการพิจารณาโทษจากทางราชการ อย่างไรก็ตามกองทัพบกใคร่ขออภัยต่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบอีกครั้ง ที่มีกำลังพลไปกระทำความผิดในครั้งนี้ เชื่อว่าการนำตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และสืบค้นมูลเหตุของการกระทำผิดจะช่วยทำให้สังคมเกิดความสบายใจในที่สุด
-------------
เมื่อวานนี้ (12 เม.ย.) นายรังสิมันต์ โรม อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีผลการสอบสวน จ่าสิบโทเขมรัตน์ บุญช่วย นายทหาร สังกัดกรมการขนส่งทหารบก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ในคดี แฮกเกอร์9near ระบุว่า ไม่ได้เป็นแฮกเกอร์และซื้อข้อมูลมาในราคา 8,000 บาท ว่า ตอนนี้ตนคิดว่าตนมีความกังวล ว่าการจัดการเรื่องนี้จะมีบุคคลที่เป็นเบื้องหลังเป็นคนใหญ่คนโต ประการแรก เนื่องจากมีหมายจับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน แต่กลับเพิ่งได้สอบสวนวันนี้ และไม่ได้เป็นการจับกุมแต่เป็นการมอบตัวด้วยซ้ำไป
“ผ่านมา 9 วัน เกิดอะไรขึ้น ตำรวจไทยทำอะไร ประการที่สอง กองทัพรีบออกมาปฏิเสธเร็วเหลือเกินว่าเป็นการกระทำของตัวบุคคลเพียงคนเดียว กองทัพไม่เกี่ยว คุณยังเพิ่งตั้งกรรมการอยู่เลย คุณดูร้อนตัวจังเลย สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมคิดว่า เอ๊ะ หรือว่ามีนอกมีใน” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ประการที่สาม ตนได้ติดตามจากรายการทีวีรายการหนึ่ง พบว่า อาจเกี่ยวข้องกับ เสธ คนดังที่มีตัวย่อ ก. ตนไม่ทราบว่าใคร สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าการจัดการในเรื่องนี้มีความแปลกประหลาดอย่างมาก และต่อให้เป็นการซื้อข้อมูลมาจริง เหตุใดกระทรวงสาธารณสุขถึงนิ่งเงียบ เพราะวันนี้เรารู้แล้วว่าข้อมูลหลุดออกมาจากแอปฯหมอพร้อม คำถามสำคัญคือมีการป้องกันอย่างไร ที่สำคัญคือไม่ได้มีการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าจะมีวิธีการไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก
“กลายเป็นว่าเราเห็นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พี่โอ๋ ชัยวุฒิ บอกว่ามีฝ่ายการเมืองไปดิสเครดิต แต่ประทานโทษ คุณเป็นรัฐมนตรี DES มาตั้งนาน แต่ทำไมถึงไม่สามารถสร้างความมั่นคงทางข้อมูลของรัฐได้ เราเจอคอลเซ็นเตอร์ ลิ้งค์หลอกลวงมากมาย โดยที่รัฐมนตรีทำอะไรไม่ได้เลย แล้วมาคิดว่าพรรคการเมืองที่ต้องการตรวจสอบดิสเครดิต” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์ ฝากไปถึงนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะพรรคการเมือง เราพยายามตามหาความชัดเจนจากรัฐเพื่อปกป้องประชาชน สิ่งที่กระทรวงดีอีควรทำคือให้ความปลอดภัยแก่ประชาชน ไม่ใช่มาบอกว่าคนที่พยายามตรวจสอบนั้นดิสเครดิต อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนตัวเอง ย้ำว่าพรรคก้าวไกลกำลังพยามตรวจสอบ ว่าประชาชนสามารถฝากผีฝากไข้ไว้กับแอปพลิเคชั่นของภาครัฐได้
เมื่อถามว่าหากเป็นเสธนายพลแบบที่เป็นกระแสข่าว ในช่วงใกล้เลือกตั้ง จะมีความกังวลไปถึงการทุจริตการเลือกตั้งหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนแอบได้ยินมาว่ามีความพยายามในการวางงานกันอยู่ ดังนั้นอยากให้เป็นการวางงานกันจริงๆ ไม่เช่นนั้น คนจะเข้าใจว่ามีกระบวนการใส่ร้าย ซึ่งคนที่สามารถควบคุมได้ในกองทัพมีไม่กี่คน
-------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/zkxyL6zHPG8