สังคม

ผู้เสียหายทำหน้า คลินิกพิมพรี่พายยันมีผู้บริหารคลินิกรับมียาไม่ผ่าน อย. ขณะที่คดี ผ่านมานานนับปียังไม่คืบ

โดย onjira_n

3 เม.ย. 2566

416 views

จากการณีที่ เมื่อช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายทยอยเดินทางเข้าแจ้งความเอาผิดกับ คลินิกแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง ( EST CUTE CLINIC สาขาห้วยขวาง ที่เป็นของ นางสาวพิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ หรือพิมรี่พาย ) ที่เป็นของแม่ค้าออนไลน์และยูทูบเบอร์ชื่อดัง และเอาผิดนางสาวอาลินดา หรือ หมอแพท หมอปลอม ที่แอบอ้างเอาเอกสารใบประกอบวิชาชีพของแพทย์หญิง รายหนึ่ง มารับทำเสริมความงามให้ลูกค้าๆทั้งๆที่ตัวเองจบเพียง ม.6



จนล่าสุดทีมข่าวอาชญากรรมช่อง 3 ได้รับการติดต่อจากกลุ่มผู้เสียหายในคดีนี้ โดยมีนางสาวเอ (นามสมมุติ) หนึ่งในผู้เสียหายให้ข้อมูลว่า ตนเองได้เข้าไปใช้บริการตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยซื้อแพ็คเกจเข้าไปทำการฉีดฟิลเลอร์ปาก ต่อมาเกิดการผิดปกติในจุดที่ทำ จึงมีการติดต่อไป ก่อนจะมาทราบว่า ในช่วงเดือนธันวาคม ก็มีผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่ซื้อโปรโมชั่นในช่วงการไลฟ์ทยอยเข้ามาแจ้งความเอาผิดกับทางคลีนิก จนตนเองได้มีโอกาสได้คุยกับหนึ่งในผู้บริหารของทางคลีนิก ที่ในการสนทนารอบนั้น มีการยอมรับว่าทางคลีนิกอาจมีการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง กับลูกค้าบางราย แต่ทางผู้บริหารรายนี้ยังคงยืนยันกับตนเองว่าสำหรับเคสตนเอง มีการใช้ตัวยาปกติ แต่สำหรับลูกค้าที่ซื้อโปร 17500 อาจมีการใช้ ซึ่งตนเองมองว่า ตนเองซื้อโปรตัวยาที่ราคา 6666 บาท แต่ทางคลีนิกกลับบอกว่าได้ตัวยาปกติ แต่ลูกค้าที่ซื้อตัวยาที่แพงกว่าทำไมได้ตัวยาที่ไม่ถูกต้อง ดูไม่สมเหตุสมผล แม้ตนเองจะพยายามติดต่อสอบถามการแก้ไขกับทางคลีนิกมานานก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ



ซึ่งตนเองได้ไปทำการฉีดสลายสารฉีดฟิลเลอร์ ตามคำแนะนำของผู้บริหารและทางคลีนิก แต่ก็ไม่หายจนสุดท้ายต้องไปทำการผ่าตัดออกจากโรงพยาบาลอื่น และขณะนี้ก็ยังคงไม่สามารถผ่าตัดออกได้ทั้งหมด ยังคงเหลือเศษของฉีดฟิลเลอร์ ค้างอยู่เป็นก้อนแข็ง ซึ่งตนเองค่อนข้างมั่นใจว่าตัวยาที่นำมาฉีดให้กับตนเองและผู้เสียหาย เป็นตัวยาไม่ถูกต้องเพราะ ตามการโฆษณาบอกว่าตัวสารฉีดฟิลเลอร์ จะสลายไปเองตามธรรมชาติ เพราะเป็นตัวยาที่สกัดมาจากสารธรรมชาติ โดยจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แต่จนถึงขณะนี้ผ่านมานานกว่า 15 เดือนแล้วก็ยังคงค้างอยู่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนเองต้องเสียเงินในการดำเนินการทั้งการไปทำการฉีดสลายสารฉีดฟิลเลอร์ และการผ่าตัดเอาฉีดฟิลเลอร์ ที่ปากออก และค่าเดินทางต่างๆคาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 1 แสนบาทแล้ว แต่ในส่วนของคดีและการชดใช้เยียวยา จากทางคลีนิกกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ



โดยทางคลีนิกเงียบหายไปตั้งแต่ที่ สบส. ออกใบแถลงว่าจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่ผู้บริหารรายนี้พูดคุยกับตนเอง รวมถึงตนเองยังรู้ว่าทางคลีนิกรู้ล่วงหน้าก่อนที่เจ้าหน้าที่จาก สบส. จะเข้าตรวจสอบ จึงเป็นไปได้หรือไม่ที่ทางคลีนิกจะมีการเตรียมการสำหรับการตรวจสอบจากทางเจ้าหน้าที่



ตนเองและผู้เสียหายที่สามารถติดต่อรวบรวมได้ จึงตัดสินใจจะเดินทางพร้อมหลักฐานเข้าแจ้งขอความช่วยเหลือต่อ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้ช่วยเร่งรัดคดี เพราะจนถึงขณะนี้ คดียังคงอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ยังไม่มีการสรุปสำนวนส่งไปยังพนักงานอัยการแต่อย่างใด

คุณอาจสนใจ