สังคม
ปะทุต่อเนื่อง! ไฟป่านครนายก เขาแหลมไหม้เกือบ 100% - ปภ.แจ้งปม ฮ.มาช้า เผยมีแค่ 4 ลำ เพิ่งไปภาคเหนือมา
โดย nattachat_c
31 มี.ค. 2566
57 views
ไฟป่าเขานครนายก ลุกลามจากเขาตะแบกไปเขาวังรี และเขานางดำ แล้ว หวั่นลุกลามไหม้บ้านเรือน กู้ภัยนำสายดับเพลิงลากขึ้นเชิงเขา เตรียมฉีดน้ำสกัด พร้อมจัดเวรยามเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง พบลมเปลี่ยนทิศ กลางวันไฟลุกโชนบนเขา พอตกเย็นและค่ำ กลับพบไฟเริ่มไหม้ ไล่ลงเชิงเขาด้านล่าง เสี่ยงอันตรายต่อชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ล่าสุด ทางจังหวัดออกประกาศเขตจากไฟป่า ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในหมู่ 13 ตำบลพรหมณี และ หมู่ 10 - 13 ตำบลเขาพระ
ความคืบหน้า กรณีเหตุไฟป่าใหม้ที่บริเวณเขาแหลม เขาชะพลู และเขาตะแบก ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่โรงเรียนนายร้อย จปร. จังหวัดนครนายก โดยพบว่าไฟลุกไหม้จากเขาชะพลู เพราะถูกฟ้าผ่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม และลุกลามมาที่เขาแหลม ซึ่งทั้งสองเขานี้ เพลิงสงบแล้ว
วานนี้ (30 มี.ค. 66) เวลา 22.00 น. ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจพบว่าบริเวณหมู่บ้านวังรี หมู่หนึ่ง ถึงหมู่สาม ซึ่งอยู่ใกล้กับเขานางดำ (จุดที่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่) พบว่า มีเปลวไฟลุกโชนมากขึ้นกว่าช่วงกลางวันที่ผ่านมา โดยเปลวไฟนั้นเป็นลักษณะที่วิ่งลงมาจากด้านบนเขา ลงมาที่เชิงเขาด้านล่าง
ซึ่งจุดนี้ตอนบ่าย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้ลงพื้นที่มาตรวจสอบ แต่พอค่ำและดึก ลมเริ่มเปลี่ยนทิศทาง ทำให้ไฟไหม้แรงขึ้น จนชาวบ้านต้องจัดเวรยามคอยดูแล และเตรียมรถน้ำคอยฉีดป้องกัน สกัดไม่ให้ไฟลุกลามเข้ามาเขตพื้นที่หมู่บ้าน ซึ่งจุดนี้อยู่ใกล้กลับหมู่บ้านวังรี
ห่างกันประมาณ 500 เมตรก็พบว่าบริเวณเขาวังรี จะเห็นไฟไหม้เป็นเส้นทางยาวๆ ซึ่งเป็นจุดที่หน่วยกู้ภัยเจ้าหน้าที่ปภ. และเจ้าหน้าที่ชำนาญด้านการดับไฟ ตั้งเป็นเป็นศูนย์เซ็นเตอร์อยู่บริเวณจุดนี้ พบว่า ได้มีการนำสายฉีดน้ำดับเพลิงเตรียมฉีดสกัดไฟ โดยเจ้าหน้าที่ลากสายไปถึงเชิงเขา ระยะทาง 1.5 กิโล ซึ่งต้องทำแบบนี้เพราะช่วงเย็น ลมเปลี่ยนทิศ ในช่วงกลางวันพบว่าเขาวังรีไม่ได้เกิดไฟไหม้ ซึ่งเขาวังรีอยู่ติดด้านหลังเขาตะแบก ในโรงเรียน จปร
แต่ต่อมา พบว่า เขาวังรีได้รับผลกระทบ ไฟลุกลามจากเขาตะแบกเมื่อช่วงเย็น หลังจากนั้นช่วงค่ำก็เริ่มเกิดเปลวไฟลุกโชน เวลาประมาณ 20.00 น. แต่คราวนี้ไฟที่ลุกไหม้ ไม่ได้อยู่ด้านบนเขาเหมือนตอนกลางวัน แต่จะเป็นในลักษณะวิ่งลงมาจากด้านบนเขา ลงมาเชิงเขา
ซึ่งหากเปลวไฟนั้นสามารถผ่านแนวกันไฟ ที่เจ้าหน้าที่ทำไว้ก็จะส่งผลกระทบ กับชาวบ้านวังรี ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ทำให้ตลอดคืนที่ผ่านมากู้ภัยและอาสาต่างๆ ต้องสลับสับเปลี่ยนเวรยามคอยดูสถานการณ์ไฟตลอด 24 ชั่วโมง และเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิง เนื่องจากทิศทางลมในช่วงกลางวันและกลางคืนต่างกัน
-------------
ขณะเดียวกัน ยังพบว่า รอยต่อของเขาวังรี คือ พื้นที่ป่า เขต ต.ชะอม อ.แก่งคอย จะ.สระบุรี เริ่มมีเปลวไฟที่ลุกลามจากเขาวังรี และเขาตะแบกแล้ว
โดยเช้าวันนี้ นักบินที่รับผิดชอบในส่วนของการทำแนวกั้นไฟและดับไฟนั้น ได้รับทราบข้อมูล และเตรียมเปลี่ยนแผนปฏิบัติการใหม่ ในเช้าวันนี้ พร้อมเสริมกำลังเฮลิคอปเตอร์ KA-32 ของ ปภ. มาอีก 1 ลำ สนับสนุนภารกิจ
-------------
สำหรับพื้นที่เขา บริเวณที่เกิดเหตุนั้น ....
พื้นที่ของโรงเรียนนายร้อย จปร. บริเวณ สนามยิงปืน จะมีเขา 3 เขา
1. เขาชะพูล
2. เขาแหลม
3. เขาตะแบก
ด้านหลังของโรงเรียน จปร. ที่มีเขาติดต่อกัน เขานี้จะติดกับหมู่บ้านวังรี ต.เขาพระ โดยมี
1. เขานางดำ
2. เขาวังรี ซึ่งติดกับอยู่ด้านหลังโรงเรียน จปร. เป็นหมู่บ้านของชาวบ้าน ที่อาศัยอยู่แนวเชิงเขาและประกอบอาชีพเกษตรกรรมอยู่กันมาอย่างยาวนาน
ทั้งนี้ เหตุไฟไหม้ที่เกิดขึ้น ชาวบ้านให้ข้อมูลว่า ปี 2563 ไฟลุกโชนแล้วดับลงอย่างรวดเร็ว แต่ปีนี้ กลับกลายเป็นไฟค่อยๆ ลุก และลาม ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะสงบลงเมื่อไหร่ หากปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะเป็นอันตรายกับชาวบ้านได้
-------------
ขณะที่ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครนายก ระบุว่า จ.นครนายก ได้ออกประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย เขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีเหตุอัคคีภัย (ไฟป่า) ในพื้นที่ อ.เมือง ดังนี้
1. หมู่ 13 ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก
2. หมู่ 10, 11, 12 และหมู่ 13 ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก
-------------
วานนี้ (30 มี.ค. 66) ทีมข่าวได้เข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ถึงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ KA32 ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเจะเข้าไปช่วยดับไฟในครั้งนี้ โดยการดับไฟในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้สารเคมีหรือวัตถุอื่นใด แต่จะเป็นการนำน้ำไปโปรยในส่วนของแนวกันไฟและดับไฟในบางจุด
โดยเครื่อง KA32 นั้นกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้นำมาจากจังหวัดลพบุรี มาจอดที่ลานจอดของโรงเรียนนายร้อย จปร.
ความพิเศษของเฮลิคอปเตอร์ KA32 นั้นจะเป็นเครื่องที่ใช้สำหรับระงับเหตุดับไฟป่าโดยเฉพาะ ตัวเครื่องนั้นจะมีท่อลักษณะคล้ายงวงช้าง จะเป็นตัวดูดน้ำเข้ามาเก็บไว้ที่แท้งอยู่บริเวณใต้เครื่อง โดยสามารถบรรจุน้ำได้ 3,000 ลิตร
หลังจากนั้น เมื่อบินขึ้นไปก็จะทำการโปรยน้ำโดยทำหน้าที่ทำแนวกันไฟ ไม่ให้ไฟที่ลุกลามนั้นออกไปลุกลามที่จุดอื่น โดยจะใช้น้ำเป็นความชื้นป้องกันไว้ ซึ่งเครื่องเฮลิคอปเตอร์ KA32 นั้นได้รับหน้าที่ในการปฎิบัติการทำแนวกันไฟ
------------
ส่วนกองทัพบก จะมีเครื่อง MI17 ก็จะนำน้ำใส่แบมบี้ หรือคล้ายๆ กับบิ๊กแบ็กยักษ์ ใส่น้ำได้จำนวน 3,000 ลิตร ทำหน้าที่ในการหย่อนน้ำลงดับไฟในจุดที่กำลังลุกลาม
โดยจะแบ่งหน้าที่กัน ระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยจะทำแนวกันไฟ ส่วนกองทัพอากาศจะทำดับไฟในจุดที่กำลังลุกลาม
------------
ส่วนกองทัพอากาศ จะมีเครื่องยูเอวี แอโรสตาร์บีพี บินอยู่ที่ความสูงประมาณ 10,000 ฟุตเพื่อช่วยดู และประเมินสถานการณ์ภาพรวม
จากภาพรวมเราก็จะเห็น ว่ามีหลายเป้าหมายในพื้นที่ดังกล่าวที่พบเป็นไฟ โดยจุดหลักๆ จะมี 3 จุดใหญ่ ที่เป็นจุดสีแดง เราจะสำรวจแล้วจะแจ้งไปยังหน่วยอากาศยาน ให้เข้าไปยังจุดที่พบไฟ และช่วยประเมินผลของหน่วยอากาศยานที่เข้าไปดับไฟ ว่าน้ำที่ทิ้งไปแต่ละครั้งนั้นได้ผลหรือไม่
โดยจุดที่พบสีแดง มี 3 จุดที่มีเปลวไฟ คือ
1. บริเวณ เขาแหลม ตำบลเขาพระ อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก
2. บริเวณเขาแหลม ตำบลเขาพระ อำเภอเมืองจังหวัดนครนายก ทิศทางการลุกลาม เป็นไปตามทิศทางลมผิวพื้นดินที่สะสมความร้อน
3.พื้นที่ตำบลเขาชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
โดยทั้งสามจุดนั้น เจ้าหน้าที่จะดูในส่วนของภาพรวมว่า ไฟแต่ละจุดนั้นไปในทิศทางใด และลมไปในทิศทางจุดไหน ก็จะมีการแจ้งอากาศยานให้เข้าไประงับได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และเร่งดับไฟให้ได้เร็วที่สุด
------------
ทีมข่าว ได้ขึ้นเครื่อง KA32 ไปสำรวจด้วย ซึ่งจากการบินสำรวจพบว่า ภูเขาถูกเพลิงไหม้บริเวณด้านบนเกือบทั้งหมด ส่วนด้านล่างไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ถูกฟ้าผ่า และทำให้เกิดไฟไหม้
ส่วนเขาแหลมซึ่งเป็นภาพที่ออกมาเป็นลักษณะคล้ายกับทะเลเพลิง พบว่าถูกไฟไหม้เกือบ 100% พื้นที่จากเคยเป็นภูเขามีต้นไม้สีเขียวกลายเป็นดำเป็นตอตะโก และก็ยังคงมีไอความร้อนกระจายอยู่เป็นจุด
ส่วนพื้นที่เขาตะแบก ซึ่งเป็นจุดที่ต้องทำแนวป้องกันไฟนั้น พบว่าช่วงแรกในตอนเช้ามืดไม่มีเปลวไฟกระจายเป็นจุดๆ เหมือนในช่วงตอนกลางวัน ซึ่งคาดว่าเกิดจากความร้อนสะสม และอากาศที่ร้อนทำให้เกิดเปลวไฟลุกไหม้กระจายเป็นหย่อมๆ เจ้าหน้าที่จึงทำการกระจายน้ำทำแนวป้องกันไฟ
ต่อมาเมื่อเวลา 17.30 น. ชุดปฏิบัติการเฮลิคอปเตอร์ ทั้ง 3 ลำ ยุติปฏิบัติการใช้น้ำ ดับไฟป่าเขาแหลม จ.นครนายก เเล้ว เเม้ว่าจะยังมีกลุ่มควันไฟปะทุจากบริเวณเขาชะพลู จุดต้นเพลิงและเขาตะแบกที่ไฟลุกลามตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
จนถึงเวลานี้ สรุปปฎิบัติการใช้น้ำทั้งหมด ใช้นำทั้งหมด 348,000 ลิตร และจะเริ่มปฎิบัติการใหม่ในวันนี้ (31 มี.ค. 66)
------------
ทีมข่าวได้สอบถาม คุณจตุพร พ่วงชิงงาม ผู้บังคับอากาศยาน ปภ.32 ซึ่งเป็นกัปตันควบคุมการบิน เครื่องเฮลิคอปเตอร์ KA-32 ถึงกรณีทำไมถึงมาช่วยเหลือช้า
คุณจตุพร ตอบว่า ปัจจุบันเครื่อง KA ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยมีทั้งหมด 4 เครื่อง ได้ไปสนับสนุนดับไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ 2 ลำ ส่วนลำนี้เป็นลำสำรองที่บินมาจากลพบุรี และนักบินก็สลับหมุนเปลี่ยนกัน ทุกคนมาจากภาคเหนือหมด เพื่อที่เข้ามาช่วยระงับเหตุให้เร็วที่สุด
ตนได้รับการประสานมาช่วงดึกวันที่ 29 มี.ค. เครื่องเราบินกลางคืนไม่ได้ จึงรีบมาตอนเช้า เป็นการเร่งด่วน จึงขอให้ประชาชนเข้าใจไ ม่ได้ทำการล่าช้า แต่มีภารกิจลักษณะคล้ายกันอยู่หลายจุด และยังมีความจำกัดของเจ้าหน้าที่ทางภาคพื้นดิน และฝ่ายปฏิบัติการ
อยากฝากถึงชาวนครนายกว่า เปลวไฟกลางคืนที่เห็นชัดกว่าแนวกลางวัน อาจจะดูรุนแรงมากนั้น ขอให้ไว้วางใจกับหน่วยงานของภาครัฐ ทั้งปภ. กองทัพบก กองทัพอากาศ ที่สนับสนุนทั้งเครื่องมือ กำลังคน อละเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย
ขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ให้กระทบกับประชาชนในพื้นที่
------------
ช่วงเย็นวานนี้ พบว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่มาประชุมติดตามความคืบหน้าการดับไฟป่าครั้งนี้ เพื่อไม่ให้ลุกลามไปยังจุดอื่น รวมไปถึงจุดที่กังวลในส่วนของพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อกัน
พลเอกอนุพงษ์ได้สอบถามข้อมูล นายสมชาย เปรมพานิชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักจัดการบริหารการ ถึงแผนการป้องกันแนวไฟ พี่จะไม่ให้กระทบกับชาวบ้าน
พลเอก อนุพงษ์ กล่าวว่า ส่วนพื้นที่ที่ยังลุกไหม้อยู่นั้นก็ต้องยอมรับว่าไม่สามารถประเมินได้ว่าจะควบคุมได้เมื่อไหร่ เพราะทุกอย่างมีตัวแปรแ ละเรื่องภัยของธรรมชาติไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ เจ้าหน้าที่จึงพยายามทำดีที่สุดแล้ว
หากการใช้วิธีนำความชื้นและน้ำทำแนวป้องกันไฟ แต่ยังดับไฟไม่ได้ ก็อาจจะต้องเสนอนายกรัฐมนตรีให้ใช้วิธีการอื่น ซึ่งอาจจะเป็นทั้งการใช้สารเคมีเข้ามาช่วย หรืออาจจะมีการทำฝนเทียมเข้ามาช่วยระงับเหตุตรงนี้
แต่จากการประเมินของเจ้าหน้าที่ เชื่อได้ว่า การใช้น้ำเข้าระงับเหตุและทำแนวป้องกันไฟจะสามารถควบคุมสถานการณ์ตรงนี้ได้ จึงใช้วิธีนี้ไปก่อน
และจะมีการประชุมปรับเปลี่ยน ซึ่งหากจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นวิธีอื่น ก็จะเสนอนายกรัฐมนตรีทันที
------------
วานนี้ (30 มี.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้แสดงความห่วงใย โดยมีแผนลงดูสถานการณ์ในพื้นที่วันนี้ (31 มี.ค. 66)
ทั้งนี้ได้ย้ำสั่งการ มท.และ ทส.ให้เสริมและสนับสนุนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย วางแผนร่วมระดมสรรพกำลัง ทั้งคน เครื่องมือช่างและจัดอากาศยาน เข้าช่วยเหลือดับไฟพื้นที่ป่าเขาแหลม ต.พรหมณี เป็นการเร่งด่วน
------------
วานนี้ (30 มี.ค. 66) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง สถานการณ์เหตุการณ์ไฟป่าที่เขาแหลมจังหวัดนครนายก ว่า
ในเรื่องนี้ได้สั่งการไปแล้ว ซึ่งในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย รวมทั้งท้องถิ่น ได้ระดมสรรพกำลังเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งสาเหตุของไฟไหม้กำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ โดยหลายคนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งได้ร้องขอและขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมกับดับไฟแล้ว ขณะเดียวกัน เมื่อช่วงเช้าได้สั่งการเพิ่มเติม ไปยังกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในการเข้าไปดูแลแล้ว
ส่วนการที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ในวันนี้ (31 มี.ค.) สามารถไปดูพื้นที่ได้ เพราะไปทำงานในหน้าที่ แต่ในวานนี้ (30 มี.ค.) ตนเองได้บริหารจัดการทั้งหมดแล้ว รวมถึงได้พูดคุยกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ซึ่งสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันระวัง เพราะหน้าแล้งอาจเกิดไฟป่าได้
แต่การที่ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ในตอนนี้นั้น ก็ไปในนามนายกรัฐมนตรีสั่งการ ซึ่งได้มีการสั่งให้ไปดูแล ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 29 มี.ค. ซึ่งกระทรวงอื่นๆ ถ้ามีโอกาสก็ต้องเข้าไปดูแล ไม่เช่นนั้นก็วุ่นไปหมด
ขอให้ดูว่าบทบาทนายกรัฐมนตรีอยู่ตรงไหนด้วย แต่หากมีเวลาก็จะลงไปดูด้วยตนเอง แต่ถ้ามีภารกิจอื่นที่สำคัญ นายกรัฐมนตรีก็ไม่จำเป็นต้องไป แต่ไม่ใช่ว่าใครไปแล้วใครได้ แต่ถือเป็นหน้าที่และความผิดชอบของรัฐบาล ซึ่งใครจะไปก็แล้วแต่ ซึ่งนายกก็จะต้องสั่งไปในนามนายกรัฐมนตรี คนอื่นจะไปก็แล้วแต่ท่าน
------------