สังคม

สุดช้ำ! แม่ร้อง "ปวีณา" ลูกชายออทิสติกวัย 29 ปี ถูกสถานรับดูแลทำร้ายร่างกาย

โดย paranee_s

17 ก.พ. 2566

718 views

วันที่ 16 ก.พ.66 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี จ.ปทุมธานี นางแหม่ม (นามสมมุติ) อายุ 54 ปี ได้พา ลูกชายออทิสติก อายุ 29 ปี เดินทางมาจากจ.อุบลราชธานี เข้าพบ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ขอช่วยติดตามคดี หลังนำลูกชายไปฝากเลี้ยงที่บ้านรับเลี้ยงคนออทิสติก ค่าจ้างเลี้ยงดูเดือนละ 3 หมื่นบาท แต่ลูกกลับถูกทำร้ายทุบตีทารุณ ใช้มีดแทงหน้าอก ใช้สากกะเบือตีมือ จมูกผิดรูปหายใจไม่สะดวก ส่วนใหญ่จะให้รับประทานข้าวกับไข่เจียว ข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


อีกทั้งให้ลูกหยุดรับประทานยาประจำที่แพทย์สั่ง แม่สังเกตเห็นความผิดปกติรับลูกกลับมาอยู่บ้านมีอาการหวาดผวา ก้าวร้าว ต่อต้านคนในบ้าน


นางแหม่ม กล่าวว่า ปกติตนอยู่กับสามีและทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ช่วงเดือนก.ค.65 ได้กลับมาเยี่ยมบ้านที่จ.อุบลราชธานี ลูกชายที่อาศัยอยู่กับยายและหลานของตน บอกว่าอยากไปโรงเรียน และอยากทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งตนก็ตามใจลูก เพราะคิดเราก็อายุมากคงดูแลลูกไม่ได้ตลอด


จากนั้นได้ติดต่อหาโรงเรียนสำหรับคนออทิสติก แต่ครูแนะนำว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้ามาเรียนกับเด็กๆ อาจจะเกิดความแตกต่างและอึดอัด จึงได้แนะนำสถานที่รับดูแลคนออทิสติกแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี แม่จึงได้ติดต่อและพาลูกไปที่นั่น พบเป็นบ้าน 2 ชั้น อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีครูพี่เลี้ยง 5 คน ดูแลเด็กออทิสติกที่มีทั้งอยู่ประจำและไปกลับ ซึ่งครูที่เป็นเจ้าของแจ้งค่าใช้จ่ายเดือนละ 30,000-35,000 บาท ในการอยู่ประจำ และบอกว่าจะสอนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ มีกิจกรรมให้ทำ พาไปเที่ยวบ้าง และจะไม่ให้เด็กใช้มือถือในช่วงแรก โดยผู้ปกครองจะต้องติดต่อผ่านครู เพราะกลัวเด็กจะไม่เชื่อฟัง


จากนั้นแม่ก็ตกลงจะฝากลูกไว้ที่นั่น โดยพาลูกไปส่งวันที่ 18 ก.ค. 65 พร้อมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และยาประจำตัวที่แพทย์ให้ต้องรับประทานทุกวัน ก่อนที่แม่จะเดินทางกลับประเทศเยอรมัน ช่วง 2 เดือนแรก ครูก็จะส่งรูปลูกชายเวลาทำกิจกรรมวาดรูป รับประทานอาหาร ไปทานเคเอฟซี มาให้แม่ดูก็ว่าลูกคงมีความสุข และครูยังบอกอีกว่า ลูกไม่ให้กินยาต่อเนื่องแล้ว โดยอ้างว่าพาไปอาจารย์หมอ บอกว่าลูกชายเป็นปกติไม่ต้องรับประทานยา


ต่อมาเดือนพ.ย.65 แม่สังเกตเห็นในรูปลูกชายซูบผอม มีร่องรอยที่ดวงตา ใบหน้า และที่แขน ครูก็อ้างว่าลูกเดินชนก๊อกน้ำ ทีแรกแม่ก็ไม่คิดอะไรแต่พอผ่านไปร่องรอยที่ใบหน้าและตามตัวก็ยังไม่หาย วันที่ 30 พ.ย.65 จึงให้น้องสาวบินจากมาจากเยอรมันเพื่อเยี่ยมหลาน


เมื่อมาถึงที่บ้านหลังดังกล่าว ครูอ้างว่าให้น้าเข้าพบเด็กไม่ได้เพราะต้องระวังเรื่องโควิด ทั้งที่น้องสาวก็ได้ตรวจ ATK และนำผลตรวจมาแสดง จึงทำได้เพียงแค่คุยกับหลานผ่านวิดีโอคอล ซึ่งน้าก็สงสารหลานมาก เพราะเห็นมีสภาพซูบผอมและร้องไห้ตลอดเวลา


เมื่อน้องสาวมาเล่าให้ฟัง แม่จึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินเพื่อกลับไทยในวันที่ 23 ธ.ค.65 และแชตคุยบอกครูว่าจะไปรับทันทีที่มาถึงเพื่อกลับบ้านจ.อุบลราชธานี ไปเที่ยวช่วงปีใหม่ แต่ครูก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าครูมีโปรแกรมจะพาเด็ก ๆ ไปเที่ยว แม่เห็นผิดสังเกตจึงให้คนรู้จักไปดูที่บ้านพบว่าทุกคนยังอยู่ในบ้าน ไม่มีการพาเด็กไปเที่ยวแต่อย่างใด จากนั้นแม่ก็ได้แจ้งครูขอให้คนรู้จักรับเด็กกลับทันที


หลังแม่กลับถึงไทยได้พบลูกชายในสภาพซูบผอม จมูกผิดรูป มีร่องรอยคล้ายถูกทำร้าย ที่ใบหน้าและแขน มีรอยถูกแทงที่หน้าอกซ้าย และมือบวมทั้ง 2 ข้าง เวลานอนลูกมีอาการหวาดผวา แม่ต้องใช้เวลาหลายวันจนกว่าลูกจะบอกว่าถูกครู 3 คน ทำร้าย


โดยครูผู้หญิงใช้ไม้เรียวตีเวลาโมโห และลูกยังบอกอีกว่า มีวันหนึ่งลูกชายทำพริกป่นหกพื้น ครูชายคนที่ 1 มาเห็นจึงเอาพริกป่นยัดใส่ปาก และใส่สากกะเบือตีมือ และอีกวันครูชายคนที่ 2 หาว่าลูกชายไปขโมยขนมจึงเอามีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอกซึ่งตอนนี้ยังมีแผลเป็นอยู่


นางแหม่ม เล่าอีกว่า วันที่ 28 ธ.ค.65 แม่จึงพาลูกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แพทย์พบว่าเด็กมีอาการก้าวร้าว และหวาดผวา จึงต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลวันที่ 28 ธ.ค.65 ถึงวันที่ 18 ม.ค. รวม 21 วัน เพราะต้องดูอาการและปรับยาที่รับประทาน เนื่องจากขาดยามาเป็นเวลานาน แม่เสียใจมากที่ลูกต้องเจอเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ลูกมีอาการต่อต้านแม่ ซึ่งแม่ไม่รู้ว่าทางครูที่ดูแลทำอะไรกับลูกและปลูกฝังอะไรใส่ลูกบ้าง นอกจากนี้ลูกยังบอกว่าเวลาอยู่ที่บ้านครูส่วนใหญ่ก็จะกินแต่ข้าวไข่เจียว และข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


“แม่ต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดที่เขาทำกับลูกแม่ ไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นๆ จะถูกกระทำแบบลูกแม่หรือไม่ เพราะทางบ้านจะกีดกันไม่ให้ผู้ปกครองเด็กรู้จักพูดคุยกันเลย และก็จะไม่ให้คุยกับเด็กๆ ที่อยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งเขาอ้างว่าเดี๋ยวเด็กจะไม่เชื่อฟังครู แม่อยากให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบว่าสถานที่ดังกล่าวเปิดถูกต้องหรือไม่ ครูที่ดูแลมีใบอนุญาตหรือไม่ และขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือติดตามคดีให้ด้วย”


ทั้งนี้นางแหม่ม ได้เคยเข้ามาร้องขอความช่วยเหลือจากนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ เมื่อวันที่ 3 ก.พ.66 แล้ว ซึ่งนางปวีณา ได้ประสาน พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ผกก.สภ.บางบัวทอง ให้นางแหม่มพาลูกชายเข้าแจ้งความ โดยตำรวจได้ส่งตัวนายเม่น ไปตรวจร่างกาย และสอบปากคำในวันที่ 4 ก.พ.แล้ว ทั้งนี้นางแหม่มเกรงว่าคดีจะไม่คืบหน้า วันนี้ จึงได้พาลูกชายเดินทางมาที่มูลนิธิปวีณาฯ อีกครั้ง เพื่อเข้าพบนางปวีณา ขอให้ช่วยติดตามคดี และเวลา 14.30 น. นางปวีณา จะพาสองแม่ลูกเคสนี้ไปพบผู้การฯ นนทบุรี ที่ตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี เพื่อติดตามคดี

คุณอาจสนใจ

Related News