สังคม

วิกฤตฝุ่น 'เชียงใหม่' ทะยานติดอันดับ 12 โลก - 'อยุธยา' ทะลุ 235 โซนสีม่วง - หมอเตือนเสี่ยงเส้นเลือดหัวใจอุดตัน

โดย petchpawee_k

3 ก.พ. 2566

87 views

วันที่ 3 ก.พ. 66 เว็บไซต์ IQAir รายงานดัชนีคุณภาพอากาศโลก (AQI) ของประเทศไทย เช้านี้ ณ เวลา 06.00 น. ปรากฏว่า จังหวัดเชียงใหม่ พุ่งทะยานขึ้นอันดับ 12 ของโลก ค่ามลพิษทางอากาศสูงที่สุด โดยค่า AQI พุ่งไปที่ 158 เข้าโซนสีแดง มีผลกระทบต่อทุกคน ส่วนกรุงเทพมหานคร  ค่า AQI อยู่ที่ 106 อยู่ในโซนสีส้ม มีผลกระทบต่อผู้ป่วยหรือคนร่างกายอ่อนแอ


ขณะที่คุณภาพฝุ่นพิษในประเทศ จากการวัด AQI พบว่า อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา วิกฤตหนัก ค่าฝุ่นพิษพุ่งสูงถึง 235  อยู่ในโซนสีม่วง มีผลกระทบต่อร่างกายอย่างมาก 

----------------------------------------

วานนี้ (วันที่ 2 ก.พ.) โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ออกประกาศแจ้งปิดเรียนในวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นเวลา 1 วัน และจะกลับมาเปิดเรียนตามปกติในวันจันทร์ที่ 6 ก.พ. 2566 เนื่องจากรายงานดัชนีคุณภาพอากาศ ในเขตพื้นที่โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม พบว่า มีค่าฝุ่น PM 2.5 ในปริมาณที่เกินกว่าค่ามาตรฐานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของนักเรียน


ทั้งนี้ โรงเรียนจะจัดให้มีการเรียนออนไลน์ตามตารางเรียนปกติของนักเรียนผ่านระบบ CUD Smart School ในวันศุกร์ที่ 3 ก.พ. 2566 โดยเป็นการทำกิจกรรมหรือทบทวนบทเรียนผ่านสื่อการเรียนรู้ต่างๆ และไม่มีการนับจำนวนผู้เข้าเรียน เมื่อเปิดเรียนตามปกติอาจารย์ประจำวิชาจะเป็นผู้สอนและติดตามงานกับนักเรียนอีกครั้ง

------------------------------------------

ด้าน นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวหัวข้อ “ฝุ่นจิ๋วพิษเจอไม่นาน…หัวใจวาย” พร้อมระบุรายละเอียด ใจความดังนี้


เจอฝุ่นจิ๋วพิษ 2.5 และจิ๋วใหญ่ PM 10 กับไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) เพียงแค่ 1-2 วัน โอกาสเสี่ยงตายสูงจากเส้นเลือดหัวใจตัน (acute MI) เป็นการรายงานในวารสารของสมาคมโรคหัวใจ (Journal of American College of Cardiology) วันที่ 26 ม.ค. 2564 รวมทั้งบทบรรณาธิการ


ทุกปริมาณของฝุ่นเล็กจิ๋วและจิ๋วใหญ่ที่เพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จนกระทั่งถึงระดับ 33.3 และ 57.3 ตามลำดับ จะเสี่ยงตายต่อโรคหัวใจสูงขึ้น และเช่นเดียวกันกับความเข้มข้นของไนโตรเจนไดออกไซด์


การศึกษานี้เป็นการพิสูจน์ตอกย้ำ ข้อสังเกตก่อนหน้านี้ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่นจิ๋วพิษ ที่ไม่ได้ทำร้ายปอดอย่างเดียว แต่มีผลต่อหัวใจในลักษณะเฉียบพลันด้วย และไม่ใช่เป็นในลักษณะที่เป็นผลเรื้อรังเท่านั้นแบบที่เข้าใจกัน


ทั้งหมดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ป่า พายุทราย ภูเขาไฟระเบิด การจงใจเผาป่าเพื่อประโยชน์ทางเกษตรกรรมอย่างอื่น และมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น จากการต้องการพลังงานจากการเผาถ่านหินฟอสซิล เหล่านี้เป็นตัวการสำคัญในการเกิดฝุ่นจิ๋วพิษ 2.5 และผลกระทบจากการเผาฟอสซิล เพื่อพลังงานอย่างเดียว เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างน้อย 12% ทั่วโลก


และถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอันดับ 4 ในการเสียชีวิตทั้งบุรุษและสตรี มากกว่าปัจจัยอื่นที่เกี่ยวกับไขมันสูง ระดับน้ำตาล ความอ้วน การไม่ออกกำลัง หรือภาวะไตแปรปรวนด้วยซ้ำ


การที่ต้องเผชิญกับมลภาวะเช่นนี้ ทุกนาทีทุกวันต่อเนื่องทั้งชีวิต และมลพิษที่ยังถูกปลดปล่อยออกมา จากเครื่องยนต์ จากรถ จากโรงงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายสุขภาพ และฝุ่นจิ๋วพิษเหล่านี้ทำให้เสียชีวิตจากโรคทางหัวใจและเส้นเลือดมากกว่า 50% ทั้งนี้ เกิดขึ้นได้แม้ว่าระดับฝุ่นพิษเหล่านี้จะต่ำกว่าระดับมาตรฐานที่กำหนดตามขององค์การอนามัยโลกหรือตามมาตรฐานของประเทศต่าง ๆ


ประชากรโลกมากกว่า 92% จะอยู่ในพื้นที่ที่ค่าฝุ่นพิษและมลภาวะทางอากาศ เกินมาตรฐานองค์การอนามัยโลกมาตลอด โดยมีการประเมินว่าต้องเสียงบประมาณในการรักษาเยียวยาบำบัด สวัสดิการ เป็นล้านล้านดอลลาร์ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเสียชีวิตจากมลภาวะทางอากาศเหล่านี้


มลภาวะทางอากาศเหล่านี้ ทราบกันดีมานานว่าเกี่ยวข้องกับฝุ่นพิษจิ๋วเล็กและใหญ่รวมกระทั่งถึงซัลเฟอร์–ออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ และมีการศึกษาความเชื่อมโยงกับสาเหตุการตาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและระบบเส้นเลือดในประเทศทางฝั่งตะวันตกแต่ยังมีข้อจำกัดในการระบุระดับ และชนิด และขนาดของฝุ่น และผลกระทบระยะเวลาที่ส่งผลกับการตายเฉียบพลัน


การศึกษาที่มีการรายงานครั้งนี้มาจากพื้นที่มณฑลหูเป่ย และมีเมืองหลวงก็คือ อู่ฮั่น เป็นพื้นที่ที่มีมลภาวะทางอากาศเข้มข้น และทำให้สามารถทำการศึกษาจากคนที่ตายจากโรคหัวใจและเส้นเลือดจำนวน 151,608 ราย ค่าเฉลี่ยรายวันของฝุ่นเล็กจิ๋ว 2.5 ในมณฑลนี้ และในหลายพื้นที่ของประเทศจีนและอินเดียอยู่ที่ 63.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และการที่ได้รับฝุ่นพิษจิ๋วเล็ก 2.5 และจิ๋วใหญ่ขึ้นขนาด 10 ไมครอนภายใน 1 วัน หรือในวันนั้นเองจะส่งผลกับการตายอย่างมีนัยสำคัญ


ผลที่ได้จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทุก ๆ ปริมาณที่เพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรของฝุ่นจิ๋ว 2.5 จะเพิ่มความเสี่ยงของการตาย 4.14% และสำหรับไนโตรเจนไดออกไซด์เพิ่มความเสี่ยงในลักษณะเดียวกันโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นอีก 1.3%


จากการวิเคราะห์ในเชิงลึกในรายงานนี้ ไม่พบความสัมพันธ์ชัดเจนกับระดับของโอโซน แต่การที่ไนโตรเจนไดออกไซด์มีส่วนในการตายทำให้มีการเพ่งเล็งถึงมลพิษ ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเครื่องยนต์ของรถเป็นพิเศษ แน่นอนคนสูงวัยอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป ตายเยอะกว่าคนหนุ่มสาวและคนที่อายุน้อยกว่า 70 ปี แต่การตายที่ไม่สมควรเหล่านี้ พบได้ในทุกกลุ่มอายุ”


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/8s80G1lDPQ8

คุณอาจสนใจ

Related News