สังคม

ผบ.ตร.แจงโพสต์คลิป 'ทุนจีนสีเทา' ไม่เป็นผลดี ควรให้ จนท.โดยตรง - 'ชูวิทย์' เผยที่คนส่งคลิปมาเพราะ 'ไม่ไว้ใจ ตร.'

โดย nattachat_c

5 ม.ค. 2566

6.6K views

วานนี้ (4 ม.ค. 66) นายสมเกียรติ คุววัฒนานนท์ รองอัยการสูงสุด เปิดเผยความคืบหน้าในการดำเนินคดีกลุ่มทุนจีนสีเทา และนายชัยณัฐ กรณ์ชนานันท์ (ตู้ห่าว) ว่า


  • ได้ขออนุมัติศาลอาญากรุงเทพใต้ขออนุมัติหมายจับ จำนวน 25 หมาย จับกุมได้แล้ว 17 หมาย
  • ในวันที่ 31 ธ.ค.65 ได้ขออนุมัติศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับเพิ่มเติมจำนวน 12 หมาย จับกุมได้แล้ว 2 ราย ในฐานความผิดทั้งที่เกี่ยวกับการสมคบกันกระทำร้ายกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับจำหน่ายยาเสพติด สมคบกันกระทำในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามขาติ และการสมคบตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อฟอกเงิน
  • ซึ่งคดีนี้ได้รวมสำนวนทั้งหมด 5 สำนวนเป็นสำนวนเดียว เนื่องจากเป็นพฤติกรรมร่วมในการกระทำความผิดซึ่งมั่นใจว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 8 ม.ค. เพื่อให้อัยการสูงสุดได้พิจารณาและทันฝากขังในกรอบเวลาวันที่ 20 ม.ค.


ส่วนกรณีที่เกี่ยวกับสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนว่า ทำสำนวนอ่อนหรือไม่นั้น จากการสอบสวนของพนักงานอัยการสูงสุดโดยละเอียดพบว่า ภาพรวมของสำนวนมีความสมบูรณ์ถูกต้อง และมุ่งเน้นไปที่การดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเป็นหลัก ไม่ได้เน้นในฐานความผิดฐานใดฐานหนึ่ง แต่เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา


ซึ่งทางอัยการได้มีการเพิ่มเติมสำนวนเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ที่ผับจินหลิงนั้น ไม่มีผลในทางคดีแต่อย่างใดเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้เก็บพยานหลักฐานครบถ้วนแล้วตั้งแต่วันเกิดเหตุรอบแรกแล้ว ประเด็นที่กล่าวว่าสำนวนการสอบสวนหละหลวมไม่สมบูรณ์ ความจริงแล้วมีความครบถ้วน อัยการเพียงแต่มาหาจุดเชื่อมโยงเพิ่มเติม


พนักงานได้รวบรวมหลักฐานไว้หมดแล้วตั้งแต่วันเกิดเหตุ มีเพีนยงรถยนต์จำนวนหนึ่งที่ตอนนั้นยังไม่สามารถเปิดได้ จึงเก็บหลักฐานภายนอก พอมาวันที่สืบสวนเพิ่มเติม พนักงานได้เปิดรถและเก็บหลักฐานภายในได้ทั้งหมด


ขณะเดียวกัน นายกุลธนิตตอบคำถามในประเด็นตั้งแต่เกิดเหตุพนักงานสอบสวนตรวจเก็บพยานหลักฐานทั้งหมดไว้แล้วและเข้าไปตรวจสอบซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยมีคณะทำงานอัยการเข้าไปร่วมด้วย ซึ่งเป็นเพียงการแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมในตัวทรัพย์สินที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ป.ป.ส.ก็มีการอายัดไว้แล้ว 


เมื่อถามว่า การแจ้งข้อกล่าวหาล่าช้าจะเป็นช่องโหว่ให้เป็นข้อต่อสู้ของนายตู้ห่าวหรือไม่ นายกุลธนิตกล่าวว่า ไม่เป็นช่องโหว่ เพราะการแจ้งกล่าวข้อหาเป็นเพียงกระบวนการหนึ่ง ส่วนเนื้อหาที่สอบสวนมา รวบรวมการกระทำของผู้ต้องหาว่าเป็นความผิดฐานใดเพื่อให้การสอบสวนลุล่วง คณะทำงานจะส่งสำนวนโดยให้มีระยะเวลาเหลือให้อัยการสูงสุดพิจารณาพอสมควร คาดว่าจะครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 7 วันที่ 20 ม.ค.2566 ตามกำหนดก็จะต้องเหลือให้อัยการสูงสุดพิจารณา อาจจะเป็นวันที่ 8 ม.ค. หรืออาจจะเกินไปไม่มาก


ด้าน พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เปิดเผยคลิปวิดีโอและหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี รวมทั้งตำหนิการทำงานของตำรวจเกี่ยวกับเรื่องสำนวนคดีว่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อสำนวนคดีนั้น ยืนยันว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว 2 ชุด โดยมีพลตำรวจเอกวิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะ และมีผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นคณะกรรมการร่วมตรวจสอบเรื่องดังกล่าว รวมทั้งจะมีการเชิญอัยการ 2-3 ท่าน มาร่วมเป็นคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวคลิปและข้อมูลอื่นๆที่มีการเผยแพร่ทั้งหมดว่าเรื่องดังกล่าวมีมูลหรือไม่โดยจะต้องรายงานให้ทราบภายใน 15 วัน


ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีการเข้าใจผิดกันในอีกหนึ่งประเด็นนั้นที่มีการเข้าใจกันว่า ผบช.น.เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ตามหนังสือ ซึ่งตามหนังสือที่ ผบช.น.ส่งสำนวนให้ อสส.พิจารณาคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งทาง อสส.พิจารณาแล้วว่าคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรและตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด


ชุดแรกเป็นคณะทำงานกำกับคดี มีรองอัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยมีอัยการสูงสุดและตนเป็นที่ปรึกษาคณะทำงาน


ชุดที่ 2 อสส.ตั้งตนเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบลงนามในสำนวนเสนอ อสส.พิจารณาและมีพนักงานสอบสวน 4 กองบัญชาการประกอบด้วย ตำรวจ ปส. ตำรวจสอบสวนกลาง และปอท.


ส่วน บช.น.มีตำรวจที่ร่วมรับผิดชอบคดีนี้อีก 42 คน จะเห็นว่าทำงานอย่างต่อเนื่อง อยากให้ประชาชนมั่นใจว่าตนเป็นผู้กำกับดูแลคดีไม่ใช่ ผบช.น.


อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่คลิปหรือข้อมูลผ่านทางสื่อนั้น เกรงว่าอาจเป็นช่องโหว่ให้กับกลุ่มผู้ต้องหานำไปต่อสู้ทางคดีได้ หากมีข้อมูลหลักฐานก็สามารถสามารถนำมาส่งให้กับตำรวจหรืออัยการได้โดยตรง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการคิดเรื่องการฟ้องร้องกับนายชูวิทย์แต่อย่างใด


ส่วนการโยกย้ายผู้บัญชาการตำรวจนครบาลตามที่นายชูวิทย์ร้องขอ ยืนยันว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาลด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาทำงานทำงานด้วยดีมาโดยตลอด


“อยากให้สื่อมวลชนเข้าใจการทำงานว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างเช่นนักมวย เวลาไปชกมวย กองเชียร์ก็มองว่าทำไมเตะตัดขา ไม่ต่อย โดยที่กองเชียร์ไม่ได้รู้ว่านักมวยทำอะไรอยู่ อย่างการสอบพยาน สอบไปแล้ว 400 ปาก และจะสอบเพิ่มเติมอีกหรือไม่” ผบ.ตร.ระบุ


ผู้สื่อข่าวถาม พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ว่า รู้สึกกดดันหรือไม่ที่มีการนำหลักฐานในคดีออกมาโชว์ต่อสื่อมวลชน ผบ.ตร.กล่าวว่า ในความเห็นของตนตอบว่ากลุ่มผู้ต้องหาเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อ ซึ่งไม่น่าเป็นผลดีต่อคดี แต่จะเป็นผลลบ เนื่องจากฝ่ายผู้ต้องหาจะเห็นช่องทางและนำมาต่อสู้ในคดีขอให้มั่นใจว่าตนเข้ามาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแล้ว และทางอัยการก็ส่งทีมชุดใหญ่มา เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะทำงานเอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันทำงาน
--------------

วานนี้ (4 ม.ค. 65) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหาเปิดโปงหลักฐานคดีทุนจีนสีเทาของตู้ห่าวต่อเนื่อง


โดยล่าสุดเผยแพร่ภาพกล้องวงจรปิด คลิปความยาว 3.42 วินาที บันทึกภาพภายในห้องที่มีหญิงสาวนั่งอยู่เต็มห้อง จู่ๆ มีกลุ่มชายฉกรรจ์ หิ้วปีกชายหนึ่งคนที่มีอาการคล้ายคนเสพยาเกินขนาดนั้น ก่อนที่จะช่วยกัยปฐมพยาบาลกันเอง และพยายามจับชายคนดังกล่าวลุกขึ้นมานั้งที่โซฟา ก่อนจะหิ้วปีชายคนดังกล่าวออกไป


พร้อมระบุว่า “เสพยาเกินขนาด overdose ที่จินหลิง

ภาพวงจรปิดต่อไป เป็นสภาพหลังบ้านที่จินหลิง

มีคนจีนเสพยาเกินขนาด ที่ฝรั่งเรียก OD หรือย่อมาจาก overdose

แบกเข้ามาปฐมพยาบาลกันชุลมุนวุ่นวาย รอดไม่รอดดูกันเอาเอง

ถึงขนาดเมียนั่งคร่อมปั๊มหัวใจ เกือบตาย ต้องหิ้วปีกพาเดินออกไปพักต่อ

พรุ่งนี้บ่าย 2 ผมมีแถลงข่าว เปิดตัวพยานปากเอกที่พบการโอนเงินจากจีนเข้าไทย

หิ้วเงินสดไล่ถอนจากแบงค์ ทีละ 20 ล้าน 30 ล้าน

พยานทุกคนผมได้นำไปให้ปากคำกับอัยการก่อนแล้ว

โดยพยานเหล่านี้ไปช่วยให้อัยการทำสำนวนคดีแน่นขึ้น

อย่าคิดว่าผมไปเสาะหาพยานเองนะครับ ทุกคนเขามาหาผม แทนที่จะไปหาทีม ผบช.น.

ด้วยคำตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “ไม่ไว้ใจตำรวจ”

--------------

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/hYwsWdyUrwQ

คุณอาจสนใจ

Related News