อาชญากรรม

เงื่อนงำ ด.ช. 4 ขวบล้มหัวฟาดโต๊ะ รร.ไม่พาไปหาหมอ อ้างไม่มีสิทธิ์ สุดท้ายดับสลด ซ้ำอ้างกล้องเสีย

โดย petchpawee_k

1 ธ.ค. 2565

495 views

ครอบครัวน้องภูผาวัย 4 ขวบ ร้องทนายรณรงค์ หลังครูแจ้งลูกสะดุดกระเป๋าล้มหัวฟาดโต๊ะ ในรร.เอกชนย่านภาษีเจริญ ก่อนเสียชีวิตที่ รพ. เผย คาใจปม รร.ไม่พาไปหาหมอ- ด้าน ทนายไม่เชื่อว่าหัวฟาดโต๊ะจนเสียชีวิต ขณะที่ตำรวจอายัดกล้องวงจรปิดและโต๊ะเรียนแล้ว รอพฐ. ตรวจสอบ


จากกรณีที่เมื่อวันที่ 29 พ.ย.65 พ่อและแม่ของ ด.ช.พชร หรือน้องภูผา อายุ 4 ขวบ 6 เดือน  ที่กำลังเรียนอยู่อนุบาล 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้เข้าปรึกษา ทนายรณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม หลังลูกไปโรงเรียนแล้วครูประจำชั้นแจ้งว่าลูกหกล้มในโรงเรียน ซึ่งเหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่พอกลับถึงบ้านลูกบ่นว่าเจ็บบริเวณแก้ม


ซึ่งภายในวันเดียวกันนั้นพ่อเป็นคนพาเข้านอน ก่อนพบว่าลูกหน้าซีด น้ำลายฟูมปาก ทางครอบครัวได้พาส่งโรงพยาบาล สุดท้ายเสียชีวิตในวันเดียวกัน เวลา 23.20 น. ขณะที่ผลชันสูตรจากแพทย์จากภาควิชานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช สรุปสาเหตุการเสียชีวิต ระบุว่า  เลือดออดเหนือเยื่อหุ้มสมอง ด้านโรงเรียนช่วยค่าทำศพ 20,000 บาท และได้ขอดูกล้องวงจรปิดกลับพบว่ากล้องเสีย


โดยความคืบหน้าวานนี้ (30 พ.ย.) นางกัญญาภัทร พิทักษ์หิรัญพงศ์ อายุ 49 ปี คุณย่าของน้องภูผา


พร้อมด้วยนายพนิต พิทักษหิรัญพงศ์ อายุ 33 ปี และนางสาวนภาพร เชยประทับ อายุ 26 ปี พ่อและแม่ของน้องภูผา เดินทางเข้าร้องขอความช่วยเหลือทางด้านคดีกับทนายรณรงค์อีกครั้งเพื่อให้ติดตามความคืบหน้าทางคดี


 โดยนางแม่ของน้องภูผา เล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 22  พ.ย. ที่ผ่านมา

-โดยตอนเวลาประมาณ 08.00 น. พ่อไปส่ง น้องภูผาที่โรงเรียน

-จากนั้นประมาณ 15.00 น. ก็เกิดเหตุน้องภูผาสะดุดกระเป๋าล้ม ใบหน้าฟาดโต๊ะ

-กระทั่งในเวลา 16.30 น. เลิกเรียน ค๊ณปู่ไปรับ ทางครูแจ้งว่า"น้องภูผา"ล้ม

-ก่อนทื่ในเวลา 16.57น. ครูโทรศัพท์ทางไลน์แจ้งแม่น้องภูผา

-18.30 น. น้องภูผาบ่นเจ็บแก้ม

-ประมาณ 21.00 น. น้องภูผา หน้าซีด น้ำลายฟูมปาก

-23.20 น. น้องภูผา เสียชีวิต


แม่ของน้องภูผา เล่าต่อว่า จากข้อมูลที่ครูเล่า บอกว่าเหตุเกิดตอนประมาณ 15.00 น. ขณะน้องเดินไปเหลาดินสอสี ก่อนที่จะสะดุดกระเป๋าล้ม ทำให้หน้าไปฟาดกับโต๊ะ จากนั้นครูประจำชั้น จึงประคบน้ำแข็งให้


พอถึงเวลา 16.30 น. ที่โรงเรียนเลิก คุณปู่ก็ไปรับ ทางโรงเรียนจึงแจ้งกับคุณปู่ว่า น้องล้ม และบอกว่าถ้ามีอาการปวดหัวให้พาไปหาหมอ คุณปูเลยพากลับมาแล้ว ซึ่งน้องได้บ่นว่าเจ็บบริเวณแก้มซ้าย และมีอาการง่วงนอน ปู่จึงให้กินยา แล้วให้น้องไปนอนพักผ่อน


ก่อนในเวลา 16.58 น. จะโทรศัพท์ทางไลน์หาเล่าเหตุการณ์ให้แม่ฟัง ว่าน้องภูผา สะดุดกระเป๋าล้มหัวฟาด ตนเลยถามว่าอาการเป็นยังไงบ้าง ครูก็บอกว่า ปกติน้องจะเป็นคนที่ร้องไห้ หายเร็ว แต่ครั้งนี้น้องร้องไม่หยุดเลย จึงประคบน้ำแข็งให้ และอ้างว่าน้องภูผาก็ยังกลับมาระบายสีต่อตามปกติ


พอได้ฟังอย่างนั้นจึงรีบกลับบ้าน และถามลูกว่าเป็นยังไงบ้าง ก็บอกว่าเจ็บที่หน้า เค้าล้มมา ซึ่งพอกลับมาลูกก็นอนอย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลย ตนจึงสำรวจดูบาดแผลตามร่างกาย ก็ไม่มีรอยเขียวช้ำ ตนจึงปล่อยให้นอนข้างล่างกับปู่ย่า จนใกล้ถึงเวลาที่จะต้องขึ้นไปนอน เลยปลุกให้ไปอาบน้ำ กินข้าว และให้ดื่มนม แต่ลูกก็อาเจียนออกมา จึงพาไปล้างตัวอีกรอบ และพาขึ้นไปนอน


จนประมาณช่วง 21.00 น. ตนโทรไปตามให้พ่อลงไปกินข้าว และตนไปเฝ้าลูกต่อ พอขึ้นไปเห็นลูกหน้าซีด มีน้ำลายฟูมปาก ตกใจรีบอุ้มลูกลงมาจากห้อง รีบพาไปโรงพยาบาล ระหว่างทางลูกไม่มีสติแล้ว พยามปลุกเค้าก็นิ่งไม่ตอบอะไรแล้ว ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา  


จากนั้นในวันรุ่งขึ้น (23 พ.ย.) จึงไปที่โรงเรียน เพื่อสอบถามว่าทำไมไม่พาลูกไปโรงพยาบาลตั้งแต่เกิดเหตุ และอยากขอดูภาพกล้องวงจรปิดให้คลายข้อสงสัย แต่คุณครูกลับบอกว่ากล้องในห้องเรียนเสีย ก่อนที่จะจำลองให้ดูว่าน้องล้มยังไง ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ที่โทรหาตนเอง และเล่าว่าครูไม่เห็นเหตุการณ์ กำลังตรวจการบ้านเด็กอยู่


พอถามว่าทำไมไม่พาไปส่งโรงพยาบาลประเมินความเจ็บของเด็กไม่ได้หรือ ทางโรงเรียนกลับบอกว่าไม่มีนโยบายที่ต้องพาเด็กไปโรงพยาบาลสองต่อสองกับครู ถ้าเด็กเป็นอะไรก็จะมีความผิด และถามว่าทำไมไม่โทรแจ้ง และพาไปโรงพยาบาลทันที ทางครูก็กลับอ้างว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นช่วงกำลังจะเลิกเรียน ซึ่งชุลมุน


หลังเกิดเหตุโรงเรียนได้ไปร่วมงานศพ ที่วัด พร้อมกับให้เงินช่วยเหลืองานศพจำนวน 20,000 บาท (เป็นค่าทำบุญงานศพ ไม่ใช่เงินช่วยเหลือ) ส่วนเรื่องค่าทดแทนทางโรงเรียนยังไม่ได้มีการเจรจาหรือตกลงกัน


ส่วนตัวมองว่า น่าจะดูแลให้ดีกว่านี้ น่าจะพาเด็กไปตั้งแต่ที่ล้ม ถ้าเป็นลูกเขา ใจเขาใจเราเค้าจะรอเวลาแบบนี้ไหม จะรอเวลาให้ผู้ปกครองมารับไหม ซึ่งโรงเรียนอาจจะไม่ใช่โรงเรียนอินเตอร์ โรงเรียนแพง แต่ตนก็เสียค่าเทอม ซื้อสังคม ซื้อความปลอดภัยให้ลูกซื้อหลักสูตร ถามว่าแพงไหมก็แพงสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ แต่กลับเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงต้องมาร้องเรียน และอยากบอกกับลูกว่า “แม่ทำถึงที่สุด ให้มันคุ้มกับชีวิตหนูที่ต้องแลกไป”


ขณะที่พ่อของน้องภูผา เล่าว่า ได้ขอเข้าไปดู กล้องที่โรงเรียน แต่อ้างว่าเสียตั้งแต่ช่วงโควิด แต่เท่าที่เห็นกล้องในห้องเสียบฮาร์ดดิสด์ไว้ปกติ แต่จอไม่ติดจอมันดำ เลยดูไม่ได้ว่าน้องเป็นยังไง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ามีครูอยู่ในเหตุการณ์ โรงเรียนน่าจะพาไปหาหมอ หรือแจ้งทางบ้าน ทางบ้านก็จะรีบไปทันที แต่นี่ก็แจ้งเหมือนที่เคยแจ้ง  ซึ่งน้องไม่ได้ล้มมาครั้งแรก


โดยในวันรุ่งขึ้นที่ไปสอบถามทางโรงเรียน ว่าทำไมไม่พาลูกตนไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งมีเสียงบางช่วงที่ทางโรงเรียนอ้างว่า ไม่มีสิทธิ์พาเด็กออกไปโดยพลการ อ้างว่าต้องขออนุญาตก่อน คุณพ่อก็เลยถามว่า ทำไมไม่โทรมาเดี๋ยวนั้นเลย ซึ่งโรงเรียนอ้างว่า เป็นช่วงใกล้เลิกเรียน และกำลังยุ่ง และดูว่าไม่มีอาการอะไร


ตนเองอยากให้ทนายช่วยตรวจสอบเรื่องของกล้อง อยากทราบว่าล้มแบบไหน จะได้หายคาใจ แล้วจริงไหมที่ครูพูด ที่เค้าบอกไม่รู้เหตุการณ์ ซึ่งกล้องอาจจะจับภาพได้หรือไม่ ก็ไม่เป็นไร แต่ที่คาใจที่สุดคือ การนำเด็กส่งโรงพยาบาล ทางโรงเรียนสามารถทำได้หรือไม่ อยากให้เป็นอุทาหรณ์ให้กับรายต่อไป จะได้ไม่เกิดขึ้น

จากนั้นในช่วงบ่าย ทนายรณรงค์ จะพาครอบครัวของน้องภูผา เข้าพบ พ.ต.อ.ชัยพันธุ์ เพ็ชรสดศิลป์ ผกก.สน.สน.ภาษีเจริญ เพื่อติดตามความคืบหน้าคดี โดยใช้เวลาพูดคุยประมาณ 20 นาที


โดยพ.ต.อ.ชัยพันธุ์ เพ็ชรสดศิลป์ผกก.สน.สน.ภาษีเจริญ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่เสียชีวิตผิดธรรมชาติ ต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งในขั้นตอนของตำรวจดำเนินการไปแล้ว 2 ส่วน 1. คือการส่งศพไปให้หมอชันสูตรพลิกศพ ที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งอยู่ระหว่างรอผล และ 2. คือได้ดำเนินการยึดโต๊ะ และกล้องวงจรปิด ซึ่งทางโรงเรียนแจ้งว่ากล้องวงจรปิดเสีย อยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ


พ.ต.อ.ชัยพันธุ์ ยังกล่าวว่า ได้พูดคุยกับครูประจำชั้นแล้ว ซึ่งคุณครูประจำชั้น บอกว่าน้องตอนนั้นเป็นชั่วโมงวิชาศิลปะ น้องได้ไปเหลาดินสอ แล้วสะดุดกระเป๋าตัวเองล้มหัวฟาดโต๊ะ


เมื่อถามว่าทำไมขณะนั้น ไม่นำตัวเด็กไปส่งที่ รพ. พ.ต.อ.ชัยพันธุ์ กล่าวว่า เบื้องต้นหลังเกิดเหตุ ครูได้เอาน้ำแข็งไประคบที่หัว และได้ถามเด็กเป็นอะไรมากหรือไม่ ซึ่งเด็กตอบว่า มีอาการเจ็บ แต่ไม่ได้มีรอยอะไร จากนั้นคุณปู่มารับ ครูก็ได้แจ้งกับปู่ว่าเด็กหกล้ม ก่อนที่คุณปู่จะนำตัวกลับบ้าน แล้วมีอาการซึ่งได้พาไปโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่โรงพยาบาล


ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต รอผลแพทย์อยู่ ซึ่งผลเบื้องต้นระบุว่า “มีเลือดในเยื่อหุ้มสมอง”


ขณะเดียวกันได้ นอกจากสอบปากคำครูประจำชั้นแล้ว ยังได้สอบปากคำเจ้าของโรงเรียนแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนรายละเอียดอยู่ในสำนวน กำลังทำสำนวนอยู่ และยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา เพราะอยู่ในขั้นตอนรวบรวมหลักฐาน ทั้งนี้ หากพิสูจน์แล้วว่าเป็นการประมาท ต้องว่าไปตามกฎหมาย และเนื้อสำนวน แต่เบื้องต้นหากโดนก็คือครูประจำชั้นที่อยู่ ณ ขณะนั้น


ส่วนกล้องวงจรปิดที่เสีย เป็นที่ระบบเซฟเวอร์ หน้าจอดำ เป็นมาตั้งแต่ปี 64 ยังไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่ แต่ก็อาจจะมีโอกาสที่จะใช้ได้ ต้องรอดูการกู้ระบบเซฟเวอร์ ของทาง พฐ.  ซึ่งกล้องวงจรปิดมี 1 ตัว โดยเก็บภาพได้ทั้งห้อง

เมื่อถามว่าครอบครัวน้องภูผายังคงกังวลใจว่าจะสามารถกู้ระบบเซิฟเวอร์ได้หรือไม่ ทาง ผกก.สน.ภาษีเจริญ ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย หากพิสูจน์แล้วว่าใครผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่มีบิดเบี้ยวแน่นอน และจากนี้ต้องมีการสอบปากคำเด็กในชั้นเรียนโดยนักสหวิชาชีพ และให้มีผู้ปกครองอยู่ด้วย ส่วนโต๊ะในที่เกิดเหตุ ผกก.สน.ภาษีเจริญ ระบุว่า อายัดมาแล้ว ซึ่งที่โต๊ะไม่มีร่องรอยอะไร


จากนั้นทนายรณณรงค์ ได้พาทีมข่าวไปดูโต๊ะนักเรียนของน้องภูผา ซึ่งเป็นโต๊ะที่มีขนาดความสูงประมาณ 45-50 ซม. ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เบื้องต้น ไม่พบร่องรอย พร้อมกับได้นำกระเป๋านักเรียนใบสีดำของน้องภูผา ให้ทีมข่าวดูว่ากระเป๋าใบนี้คือใบที่น้องภูผาสะดุดก่อนล้ม


เบื้องต้น สาเหตุที่ยึดมาเป็นการนำมาตรวจสอบ และเปรียบเทียบกับความสูงของน้องภูผา ที่สูง 109 เซนติเมตร ว่าสอดคล้องกับคำให้การที่ว่าเด็กล้มฟาดโต๊ะจริงหรือไม่ และเพื่อให้คลายข้อสงสัยของญาติๆ


ต่อมา คุณย่าของน้องภูผา บอกว่า โต๊ะที่ตำรวจยึดมาไม่ใช่โต๊ะที่หลานล้มหัวไปฟาด จึงได้พาตำรวจชุดสืบสวนกลับไปอายัดอีกครั้งที่โรงเรียน ซึ่งเมื่อยกโต๊ะออกมาคุณย่าชี้ให้ผู้สื่อข่าวดูว่าเป็นโต๊ะตัวนี้ และชี้จุดที่ครูบอกว่าล้มฟาดให้ดู


ขณะที่บรรยากาศด้านหน้าโรงเรียน พบว่าประตูหน้าโรงเรียนปิด ขณะที่ผู้สื่อข่าวเดินทางไปด้วย และไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ รวมทั้งไม่มีใครออกมาชี้แจง ผู้สื่อข่าวจึงพยายามโทรศัพท์หาครูประจำชั้นเพื่อให้มาชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ไม่มีใครรับสายแต่อย่างใด


ด้านทนายรณรงค์ กล่าวหลังไปติดตามความคืบหน้าทางคดี โดยยืนยันว่า ตนไม่เชื่อเลยที่ครูบอกว่าเด็กไปกระเแทกโต๊ะเสียชีวิต เพราะโต๊ะของกลางที่ยึดมาตอนแรกเป็นของใหม่ ไม่มีร่องรอยเลย แต่พอเป็นโต๊ะตัวจริงมีรอย ซึ่งตนมองว่ากระแทกจนถึงขั้นเด็กเสียชีวิต ต้องมีแผลบ้าง แต่สภาพหน้าของน้องภูผาไม่มีอะไรเลย จึงไม่เชื่อว่าเด็กล้มไปโดนโต๊ะ น่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า ซึ่งครูไม่ได้สนใจเด็ก


จากนี้ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และต้องมีคนรับผิดชอบ เด็กไม่ตายฟรีอยู่แล้ว และเหตุการณ์นี้ยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่าตัวโรงเรียนเอกชนหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครูจุ๋มเอาถุงดำคลุมศีรษะเด็กเมื่อหลายปีก่อน มีคนแตกตื่นว่าโรงเรียนอนุบาลทุกแห่งของประเทศไทยต้องมีวงจรปิด พอมีแล้วกลับพบว่ากล้องเสียแสดงให้เห็นประเทศไทยไม่ได้คุ้มครองเด็ก และให้ความสำคัญเรื่องกล้องวงจรปิดของเด็กเล็กเลย


ทนายรณรงค์ ยังบอกว่า ยังไม่มีการออกมาชี้แจงของคณะผู้บริหาร และ ผอ.โรงเรียนเลย หลบเลี่ยงทุกอย่าง และจากนี้จะเคลื่อนไหวต่อด้วยการนำเรื่องไปร้องต่อกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรี ที่ดูแลโรงเรียนเอกชนโดนตรงว่าให้มาตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยของเด็ก ว่าได้มาตรฐานหรือไม่ และตั้งคำถามว่าเด็กเกิดอุบัติเหตุทำไมไม่เอาไปส่งโรงพยาบาล ขณะเดียวกันจะไปถามด้วยว่า “มีกฎหมายห้ามเอาเด็กไปรักษานอกโรงเรียนจริงหรือไม่” ตามที่ทางโรงเรียนบอกว่าไม่มีอำนาจนำตัวเด็กออกนอกโรงเรียน จึงไม่ส่งไปให้หมอทำการรักษาตอนที่ล้มแรกๆ จนเด็กกลับมาบ้านแล้วเสียชีวิต

-------------------------------------------


จากกรณีนี้  นายวีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ “หมอหมู” อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า


“จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ในกรณีที่เด็กหกล้มศีรษะกระแทกพื้นแล้วเกิดภาวะเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นนอก พบได้บ่อยพอสมควร และบางรายก็เสียชีวิต จึงอยากฝากถึงผู้ที่ต้องดูแลเด็กต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ หากพบเห็นกรณีดังกล่าว ควรรีบส่งตรวจรักษาที่ รพ. ไม่ควรรอจนกว่าจะเกิดอาการรุนแรง ซึ่งอาจไม่ทันเวลานะครับ


Epidural hematoma หรือ ภาวะเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นนอก เป็นการบาดเจ็บของสมองชนิดหนึ่ง โดยเกิดจากการฉีกขาดของหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำบริเวณเยื่อหุ้มสมอง หรือหลอดเลือดระหว่างกะโหลกศีรษะและเยื่อหุ้มสมองชั้นดูรา ส่งผลให้เนื้อสมองมีการถูกกดเบียด จึงทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ พูดไม่ชัด หมดสติ และในรายที่รุนแรงจะถึงขั้นเสียชีวิตในเวลาไม่นาน


ในประเทศไทย มีรายงานวิจัยพบภาวะเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นนอกได้ประมาณร้อยละ 2-3 ของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะ ภาวะนี้พบได้ในทุกอายุ โดยพบว่าในเด็ก ที่อายุมากกว่า 2 ปี มีโอกาสเกิดได้มากกว่าในผู้ใหญ่ เนื่องจากเยื่อดูราแยกออกจากผิวด้านในของกะโหลกได้ง่ายกว่า


การเกิดหลอดเลือดฉีกขาดจนทำให้เกิดก้อนเลือดมีสาเหตุจากการผิดรูปของกะโหลกศีรษะในขณะที่มีแรงมากระทบ สาเหตุหลักจากการเกิดอุบัติเหตุที่ศีรษะ ทั้งอุบัติเหตุจราจร ตกจากที่สูง เด็กหกล้ม จากการเล่นกีฬา หรือถูกทำร้ายร่างกายที่บริเวณศีรษะ ทำให้หลอดเลือดที่แตกแขนงไปเลี้ยงกะโหลกศีรษะถูกดึงรั้งจนฉีกขาด


การที่เลือดออกจากหลอดเลือดจะทำให้มีก้อนเลือดขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยแรงดันในหลอดเลือดแดงและก้อนเลือดจะเซาะหลอดเลือดออกจากกะโหลกศีรษะ จึงทำให้มีการฉีกขาดของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกะโหลกศีรษะเพิ่มเกิดจุดเลือดออกมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอาการแย่ลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาต่อมา


ตำแหน่งที่เกิดบ่อยคือ Temporal bone หรือ ขมับ ซึ่งมีความบอบบางเป็นเหตุให้เกิดการฉีกขาดของหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ อัตราการตายของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นนอก พบประมาณร้อยละ 8”



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/2-UHrjdYzgA


คุณอาจสนใจ

Related News