สังคม

ศึกวันอาสาฬหบูชา! แฉ 'พระชาตรี' เคยปิดวัด สั่งบอดี้การ์ดรุมกระทืบพระฝ่ายตรงข้าม

โดย thichaphat_d

27 ก.ย. 2565

23 views

จากกรณีก่อนหน้านี้ที่ “แพรรี่” หรือ อดีตพระไพรวัลย์ วรรณบุตร เกิดวิวาทะกับพระชาตรี ด่าทอกันในโลกออนไลน์ ก่อนที่แพรรี่จะออกมาเปิดเผยข้อมูลพระชาตรี ว่ามีประวัติยักยอกเงินวัด 4 ล้านบาท สมัยเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา ตำบลบางเขน อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี

ก่อนที่พระครูโกศลปริยัติวงศ์ เจ้าอาวาสวัดกำแพง ในฐานะเจ้าคณะตำบลบางเขน จะออกมา ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องจริง

ความคืบหน้าล่าสุดวานนี้ หลังจากที่นายปัญญา จารุมาศ ทนายความของวัดพุทธปัญญา เดินทางไปที่ศาลจังหวัดนนทบุรี ก่อนจะมาแถลงในช่วงค่ำ หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสให้เปิดเผยได้ถึงคดียักยอกเงินจากบัญชีวัดพุทธปัญญาเมื่อปี 2558 จำนวนเงิน 4.3 ล้านบาท ว่า

จากการไปคัดสำนวนที่ศาลจังหวัดนนทบุรีเมื่อช่วงเช้าวานนี้ ขณะนี้ยังอยู่ในการพิจารณาของศาล ซึ่งหลังจากมีการยื่นฟ้อง ปี2558 มีการเรียกเบิกความจำเลยทั้ง 4 ได้แก่ จำเลยที่1 พระชาตรี ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาสขณะนั้น / จำเลยที่ 2 พระลูกวัด / จำเลยที่ 3 กรรมการวัด และจำเลยที่ 4 หญิงที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเหรัญญิกในระหว่างที่พระชาตรีเป็นรักษาการเจ้าอาวาส

จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานทั้งหมด พบว่ามีการเบิกเงินจากบัญชีของวัดประมาณช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2558 ซี่งการเบิกเงินครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่พระชาตรีได้รับการแต่งตั้งได้ไม่นานและเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่มีการเบิกเงินไปรวม 4.3 ล้านบาท เป็นการเบิกครั้งละประมาณ 2-3 แสนบาท

โดยมีจำเลยที่4 เป็นผู้เซ็นรับเงินเพียงคนเดียว และไม่ยอมมาเบิกความในศาลเพียงคนเดียวด้วย ศาลจึงออกหมายจับจำเลยที่ 4 ในปี 2560 จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถจับกุมจำเลยที่ 4 ได้ เนื่องจากเดินทางออกนอกประเทศโดยมีเบาะแสว่าเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2558 แล้ว

ส่วนจำเลยที่ 1-3 นั้น ได้ส่งทนายความมาเบิกความต่อศาล โดยพระชาตรียืนยันผ่านทนายความมาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และได้เอาหลักฐานที่ไปยื่นฟ้องจำเลยที่ 4 กับศาลแขวงนนทบุรี มาแสดงยืนยันต่อศาลว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นเพียงผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 เบิกเงินเท่านั้น

ส่วนสาเหตุการเบิกเงินช่วงแรกไม่มีรายละเอียดชัดเจน แต่จะมีช่วงหลังที่มีการเอาหลักฐานมาชี้แจงอนุมัติให้ถอนเงินเพื่อเอาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ บำรุงกิจการของวัด พร้อมเขียนจดหมายแถลงต่อศาลด้วยว่าให้จำเลย ที่ 4 นำเงินมาคืนด้วย อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของจำเลยที่สี่ยังไม่พบความเชื่อมโยงไปถึงจำเลยที่ 1 (พระชาตรี)

ทนายปัญญา ยังย้ำว่า เงินจำนวน 4.3 ล้านที่ถูกยักยอกไปมีโอกาสจะได้คืน หากทุกฝ่ายช่วยเหลือกัน อีกทั้งคดีมีอายุความถึง 20 ปี เมื่อฟ้องร้องในปี 2560 หมายความว่าอายุความจะสิ้นสุดในปี 2580

ทั้งนี้ ทนายปัญญาบอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการต้องหาตัวจำเลยที่ 4 ที่เป็นผู้เซ็นรับเงินไป ถึงจะรู้เส้นทางว่ามีการกระจายโยกย้ายเงินไปที่ใครบ้าง ยืนยันว่าไม่เป็นกังวล เพราะทำตามหน้าที่และจะติดตามอย่างถึงที่สุด

ด้านพระชาตรี ให้สัมภาษณ์กับเดลินิวส์ถึงข้อกล่าวหาว่า สามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง อย่างกรณีภาพโชว์หน้าอก ก็เป็นภาพขณะออกกำลังกาย เพราะตนชอบออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว แล้วขณะที่ออกกำลังกายอยู่นั้น ก็มีพระที่ประเทศไทยวิดีโอคอลมาหาพอดี แล้วได้มีการบันทึกรูปเก็บไว้

ส่วนการหลอกให้ทุนนักเรียนไทย ยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง มีแต่กรณีที่นักเรียนไทยได้ทุนแล้วเรียนต่อไม่ไหว ถูกมหาวิทยาลัยที่นี่รีไทร์ ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับตนแล้ว และหากใครมีหลักฐานว่าหลอกให้ทุนนักเรียนไทยก็สามารถนำออกมาเปิดเผยได้เลย

ขณะเดียวกันเรื่องที่ยักยอกเงินวัดพุทธปัญญา พระชาตี ระบุว่า ศาลได้ยกฟ้องแล้ว ตนไม่มีความผิด และการที่เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา ได้ให้ทนายความไปคัดสำเนาคดีนี้นั้น ก็ขอให้เปิดเผยออกมาได้เลย จะได้ทราบความจริงกัน ทั้งที่ศาลยกฟ้องไปแล้ว แต่ทำไมทั้งเจ้าคณะ ต.บางเขน และเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา ถึงยังพูดในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง

อีกประเด็นที่ถูกขุดขึ้นมาของพระชาตรี ขณะที่รักษาการเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา คือเหตุการณ์ในคืนวันอาสาฬหบูชา เมื่อปี 2558 ที่มีการปิดวัด สั่งบอดี้การ์ดมารุมกระทืบพระที่อยู่ขั้วตรงข้าม แถมควงมีด / ปืนกระบองขู่ มีสงฆ์เจ็บหนักถึงขั้นกรามหัก ขณะเดียวกันพระชราก็ไม่เว้น

พระอาจารย์ธวัชชัย จนฺทวํโส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา หนึ่งในพระที่ถูกทำร้ายร่างกาย เล่าว่า พระชาตรี เคยมาเป็นพระอาคันตุกะ จำวัดที่วัดพุทธปัญญา เวลาหนีหนาวมาจากรัสเซียก่อนปี 58 เนื่องจากพระชาตรี เป็นชาว จ.พัทลุง ส่วนอดีตเจ้าอาวาส เป็นคน อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นคนใต้ด้วยกัน

กระทั่งปี 58 อดีตเจ้าอาวาสอาพาธ จู่ๆ พระชาตรี ก็ขึ้นมาเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา โดยพระอาจารย์ธวัชชัย ใช้คำว่า ลอยมาในนภากาศ มาเป็นรักษาการเจ้าอาวาส โดยที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาของเจ้าคณะตำบล

ช่วงเวลานั้น เป็นเหมือนกับสงครามกลางเมือง พระชาตรี เริ่มดึงพระนอกวัด และฆราวาสจากข้างนอกมาเป็นพวก เวลาไปไหนจะมีบอดี้การ์ดเป็นชายฉกรรจ์ 5-6 คน คอยดูแล เดินนำหน้า 2 ประกบข้าง 2 และ เดินตามอีก 2 คน ด้วยนิสัยของพระชาตรีที่ค่อนข้างเผด็จการ ทำให้เกิดการแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายอดีตเจ้าอาวาสที่อาพาธ และฝ่ายพระชาตรี ซึ่งพร้อมที่จะปะทะกันทุกเมื่อ เหมือนสงครามกลางเมือง เพราะมีเรื่องทะเลาะกันขึ้นโรงพักบ่อยครั้ง จึงต้องแยกกันทำวัตรเช้า

กระทั่งวันอาสาฬหบูชา ปี 58 ที่วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันเข้าพรรษา ฝ่ายพระชาตรี ได้เรียกประชุมช่วงหัวค่ำ ก่อนที่มีการปิดวัด และเรียกพระลูกวัดมาคุย ให้พระที่อยู่อีกฝ่ายเข้าเป็นพวก

โดยบอกว่า พระชาตรีข่มขู่พระลูกวัดว่า ใครไม่เข้าเป็นพวก จะโดนทำร้ายร่างกาย พร้อมกับนำทั้งมีด กระบอง และปืนมาข่มขู่

เลยทำให้พระหนุ่มๆ ที่ยังมีเรี่ยวแรง วิ่งหนีกันออกมา ไปด้านหลังวัด และปีนกระโดดข้ามกำแพงหลังวัดหนีออกไป

แต่มีพระที่ชราภาพ 1 รูปหนีไม่ทัน จึงถูกกลุ่มพระชาตรีกระทืบ ก่อนวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากพระอาจารย์ธวัชชัย ที่กุฏิไม้

แต่ปรากฎว่า กลุ่มพระชาตรีวิ่งตามเข้ามา เห็นพระอาจารย์ธวัชชัยถือมือถือ จึงพยามมายื้อแย่ง ก่อนตบมือถือออกจากมือ จังหวะที่กำลังก้มไปเก็บมือถือ ก็ถูกพระ 2 รูปที่เป็นพวกของพระชาตรีกระทืบจนศีรษะแตก และมีพระรูปหนึ่งบาดเจ็บกรามหัก

จากนั้นก็มีญาติโยมและเจ้าคณะตำบลมารอหน้าประตูวัด แต่พระชาตรีสั่งห้าม พร้อมระบุ หากเข้ามาจะถือว่าบุกรุกสถานที่ในยามวิกาล

หลังจากนั้น พระอาจารย์ธวัชชัย จึงแจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว ไปจำวัดที่วัดอื่นจนกระทั่งคดีไปสิ้นสุดบนชั้นศาลเมื่อ 59 โดยพระ 2 รูปที่ทำร้ายพระอาจารย์ธวัชชัย พอไปตรวจสอบประวัติพบว่าหนีคดีมาบวชเป็นพระ จึงถูกสึก ส่วนทางคดีทั้ง 2 รับสารภาพว่าได้รับคำสั่งมาจากพระชาตรี ซึ่งพระอาจารย์ธวัชชัย บอกว่าให้อภัยกับคู่กรณี

ส่วนกรณีเรื่องยักยอกเงินนั้น มาทราบภายหลัง จากที่เกิดเรื่องแล้ว เหมือนกับน้ำลดตอผุด เนื่องจากมีพระสังฆาธิการ ตำรวจ และเจ้าคณะตำบล มาประชุม และสั่งปลดพระชาตรีออกจากตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส หลังว่าช่วง 3 เดือนที่เป็นรักษาการ เกิดความวุ่นวายในวัด จนนำไปสู่การทำร้ายกันเกิดขึ้น  

นอกจากนี้มีการตรวจสอบบัญชีการเงิน พบว่า บัญชีเงินฝาก มีเงินหายไป 4 ล้านบาทซึ่งไม่ทราบว่าเป็นการปลอมแปลงเอกสารหรือไม่ เพราะมีการขอทำสมุดบัญชีใหม่ พร้อมยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่เป็นรักษาการ ไม่ได้เบิกเงินมาซ่อมแซมวิหาร หรือก่อสร้างใดๆ ตามที่พระชาตรีกล่าวอ้าง มีแต่การติดกล้องวงจรปิดเพิ่มรอบวัด ตรวจสอบพฤติกรรมพระสงฆ์

ขณะเดียวกันพระชาตรี เผยถึงกรณีดังกล่าว ว่า ข้อเท็จจริงคือ ตนเป็นผู้ถูกรุมกระทืบต่างหาก ซึ่งตอนเกิดเหตุตนยังไปแจ้งความไว้ที่ สภ.นนทบุรี แล้วด้วย สามารถไปตรวจสอบได้

ทีมข่าวสอบถามไปยัง พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ผกก.สภ.นนทบุรี เผยกับทีมข่าวว่า  ขออนุญาตตรวจสอบก่อน เนื่องจากเคสว่าผ่านมาหลายปีแล้ว

ขณะที่แพรี่ หรือไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า “สู้ๆ นะคะ ดูมีความพยายามดี แพรเป็นกำลังใจให้”  พร้อมโพสต์ถึงศึกวันอาสาฬหบูชาด้วยว่า “อันธพาลต่อให้ใส่ผ้าเหลืองก็คืออันธพาลค่ะ”



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/AhmBusMzy30

คุณอาจสนใจ

Related News