สังคม
แฉชีวิตหรู ลูกศิษย์คนสนิท สมเด็จพระวันรัตฯ ยักยอกเงินกว่า 100 ล้าน ค้านประกัน หวั่นหลบหนี
โดย thichaphat_d
4 เม.ย. 2565
2.5K views
จากกรณีข่าวยักยอกเงินจากบัญชีของวัดบวรนิเวศวิหารและวัดสาขา หลังจากสมเด็จพระวันรัตฯ อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรฯ ที่มรณภาพไปเมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยพบว่าผู้ต้องหามีการยักยอกเงินนำไปใช้ส่วนตัวเป็นเงินจำนวนมาก
จากการสืบสวนพบว่า ผู้ต้องหาที่ยักยอกเงินเป็นลูกศิษย์คนสนิทรายหนึ่ง ชื่อว่า นายเนย (นามสมมติ) มีความใกล้ชิดกับสมเด็จพระวันรัต และเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกรมาแล้วอีกด้วย
จากการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหา ก็พบทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก อาทิ รถยนต์หรู ยี่ห้อเบนลี่ ,ปอร์เช่ วอลโว่ ,บีเอ็มดับเบิลยู ยี่ห้อเล็กซัส , เงินสด ,เงินฝากในบัญชี , อสังหาริมทรัพย์ , กระเป๋าแบรนด์เนม , พระเครื่องทองคำ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ทางพนักงานสอบสวนจึงได้ประสานงานไปยังสำนักงานป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.เพื่อดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า ผู้ต้องหานั้นอาศัยจังหวะที่สมเด็จพระวันรัต อาพาธจนต้องไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็เลยฉวยโอกาสทำการปลอมแปลงเอกสารและลายเซ็น เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ เพื่อโยกย้ายทรัพย์สินของวัดไปเป็นของตัวเองมากกว่า 190 ล้านบาท หรืออาจจะมีมากกว่านี้ก็เป็นได้ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ส่วนตัวผู้ต้องหาก็ยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวในชั้นศาล หลังจากนำตัวผัดฟ้องฝากขังในครั้งแรก เนื่องจากมูลค่าทรัพย์สินที่กระทำความผิดมีมูลค่าสูง จนเกรงว่าหากได้ประกันตัวผู้ต้องหาจะหลบหนี
ซึ่งภายหลังการจับกุมนายเนย ยังให้การปฏิเสธ อ้างว่า เงินดังกล่าวเป็นเงินที่สมเด็จพระวันรัต มอบให้ไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ตนไม่ได้ฉ้อโกงมาแต่อย่างใด แต่จากหลักฐานที่ทางวัดมอบให้กับตำรวจนั้นค่อนข้างชัดเจนว่า เป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเพราะเป็นเงินที่ถูกโอนจากบัญชีวัดมาเข้าบัญชีส่วนตัวของนายเนย
เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวม 4 ข้อหา ประกอบด้วย ฉ้อโกง, ลักทรัพย์, ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และ ฟอกเงิน ขณะนี้ชุดสืบสวนกองปราบฯกำลังสอบสวนขยายผลเกี่ยวกับทรัพย์ของนายเนย ร่วมกับ ป.ป.ง. เพื่อนำทรัพย์สินทั้งหมดมาคืนวัดด้วย
ทั้งนี้มีรายงานการสืบสวนว่า คดีนี้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นายเนย ได้ใช้อุบายหลอกลวงให้สมเด็จพระวันรัต ลงลายมือชื่อในใบถอนเงิน จากนั้นได้นำใบถอนเงินฉบับดังกล่าวมาเขียนจำนวนเงินตามที่ตนเองต้องการ แล้วนำไปแสดงต่อพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง เพื่อถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของวัดชิรธรรมาราม จ.อยุธยา
ต่อมาเมื่อต้นเดือนมกราคม นายเนย ยังคงใช้อุบายหลอกลวงให้สมเด็จพระวันรัต ลงลายมือชื่อในใบถอนเงินแล้วนำมาเขียนจำนวนเงินตามที่ตนเองต้องการ อีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ได้มอบหมายให้ผู้ใกล้ชิดของสมเด็จพระวันรัตอีกคนหนึ่ง เป็นผู้นำใบถอนเงินฉบับดังกล่าวไปแสดงต่อพนักงานธนาคาร เพื่อถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของวัดวชิรธรรมาราม แล้วให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายทำธุรกรรมซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่ายให้แก่ นายเนย ก่อนที่ฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนเอง
หลังจากนั้น ทางวัดวชิรธรรมาราม ได้ตรวจพบการทุจริตของนายเนย จึงเข้ามาแจ้งความกองปราบ เพื่อให้มีการดำเนินคดีเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากมีการแจ้งความแล้ว ทางวัดบวรนิเวศเชื่อว่า นายเนย น่าจะทุจริตเอาเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดของวัดบวรไปด้วย
ทางพระธรรมวชิรญาณ รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร-สมุทรปราการ (ธรรมยุติ) จึงมีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินของสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร อีกทางหนึ่งด้วย
จากการตรวจสอบก็พบว่า สมเด็จพระวันรัต ได้เปิดบัญชีเงินฝากส่วนตัว และบัญชีที่เกี่ยวข้องกับวัดบวรนิเวศวิหาร ไว้กับธนาคารจำนวนหลายบัญชี เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2564 นายเนย ได้นำสมุดบัญชีเงินฝากจำนวนหลายเล่ม และบัตรประจำตัวประชาชนของสมเด็จพระวันรัต พร้อมโทรศัพท์มือถือของนายเนย มามอบให้บุคคลใกล้ชิดของสมเด็จพระวันรัตอีกคนหนึ่ง
แล้วสั่งการให้นำไปติดต่อกับพนักงานธนาคาร เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้น เป็นต้นมา นายเนยก็ใช้โทรศัพท์มือถือของตนเองในการทำธุรกรรม เพื่อโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของสมเด็จพระวันรัต และบัญชีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดบวรนิเวศวิหาร มายังบัญชีเงินฝากของตนเอง
เป็นเหตุให้วัดวชิรธรรมารามได้รับความเสียหายเป็นเงินถึง 80 ล้านบาท และวัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 110 ล้านบาท รวมความเสียหายของทั้งสองวัด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 190 ล้านบาทเศษ หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ตัวแทนของวัดบวรนิเวศวิหาร จึงเข้ามาแจ้งต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้ดำเนินคดีเพิ่มเติมกับนายเนยอีกด้วย
ด้าน นายจตุรงค์ จงอาษา ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Jaturong Mantaso Jongarsa ระบุว่า
#สมเด็จรูปนี้ไม่มีเงินส่วนตัว
เห็นข่าวกรณีไอ้เนย อมเงินวัดไปหลายร้อยล้าน เห็นหลายคนแทนที่จะด่าโจร กลับเสือกมาด่าพระ ผมขอชี้แจงตามความรู้อันน้อยนิดของผมดังนี้นะครับ
1.สมเด็จฯไม่มีเงินส่วนตัวนะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นบัญชีวัดที่ท่านปกครองหรือเคยปกครอง ทั้งในนามเจ้าอาวาส(วัดบวรฯ) ในนามรักษาการเจ้าอาวาส(วัดมกุฏฯ/วัดตรีฯ) ในนามวัดที่ท่านสร้างเองกับมือ(ตราด/บางปะหัน) และในนามมูลนิธิฯ ต่างๆ
2.บัญชีส่วนตัวเดียวที่มีคือบัญชีปี43 ในนามพระพรหมมุนี
(ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นบัญชีตาย ไม่เคยถอนทิ้งไว้เฉยๆ ไม่มีใครทราบยอด
3. บัญชีเพื่อสาธารณกุศล เช่น สมเด็จพระวันรัตเพื่อกองทุนโรคหัวใจ หรือ สมเด็จพระวันรัตเพื่อพระบาลี เป็นต้น
4. สมเด็จฯ ถือเรื่องการจับเงิน ไม่รับเงินมากๆ และการที่สมเด็จเป็นธรรมยุติไม่จับ/รับเงินนี้เอง โจรมันเลยอาศัยโอกาสนี้ในการเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินของสมเด็จฯ ที่มีในวัดต่างๆ/องค์กรสาธารณกุศลต่างๆ ในช่วงที่สมเด็จฯรักษาตัวในโรงพยาบาล
#ดังนั้น การที่คนขับรถธรรมดา จะไปถอนเงินออกจากบัญชีต่างๆ เหล่านี้ได้ เราควรโทษพระที่ตายไปเหรอครับ ทำไมไม่ ด่าโจร ด่าระบบคณะสงฆ์ และ ด่าระบบสถาบันการเงิน ที่ปล่อยให้โจรเอาเงินออกไปจากระบบ แต่กลายเป็นสังคมทำไมต้องมาก่นด่าพระที่เป็นมะเร็งตาย ทำไมพระที่ตายถึงต้องถูกด่าโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
#ย้ำนะครับ คนตายไม่เคยสะสมทรัพย์สินส่วนตัว มีแต่ดูแลทรัพย์สินคณะสงฆ์ส่วนกลาง ดูแลทรัพย์สินคณะธรรมยุติ ดูแลทรัพย์สินวัด ดูแลทรัพย์สินสาธารณกุศล
อย่าไปป้ายสีคนตายว่าเอาเงินไปให้กัน คนตายพูดไม่ได้ แต่เส้นทางทางการเงินที่ตำรวจมีมันชัดนะครับ
ว่า.....สมเด็จฯท่านไม่ได้ให้ แต่โจรมันยักย้ายออกมาเอง
อย่าไปด่าพระ กรุณาด่าโจร
#เข้าใจตรงกันนะครับ
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/ADvwOZ2IjZ0