สังคม

LGBTQ สายมูแทบทรุด! เป็นลูกศิษย์ร่างทรง 9 ปี ถูกหลอกแก้กรรม ขายที่ดินได้ก็ต้องแบ่งให้ 50 ล้าน อ้างเป็นสัญญาใจเทพเจ้า

โดย panisa_p

11 มิ.ย. 2568

87 views

LGBTQ สายมูร้องขอความเป็นธรรม หลังถูกร่างทรงหลอกให้ทำพิธีกรรมต่างๆ และให้ประกาศขายที่ดิน หากขายได้ต้องแบ่งเงินถวายร่างทรงครึ่งหนึ่ง อ้างเป็นสัญญาใจกับเทพเจ้า ต้องรักษาสัจจะ ปรากฏว่าขายที่ได้จริง เธอก็ยอมแบ่งเงินให้ รวมประมาณ 50 ล้านบาท



ทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์เดินทางไปพบคุณส้ม (นามสมมติ) ผู้ร้อง เล่าว่า เธอเป็น LGBTQ สายมู ที่เข้าไปใช้ชีวิตกินอยู่และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของสองสามีภรรยาคู่หนึ่งนานเกือบ 9 ปี หมดเงินไปกว่า 50 ล้านบาท โดยสามีภรรยาคู่นี้เปิดบ้านเป็นเทวสถานองค์เทพ ย่านสุขสวัสดิ์ กรุงเทพฯ เพื่อให้คนเข้ามากราบไหว้บูชา ซึ่งคุณส้ม เข้าไปกราบไหว้ครั้งแรกเมื่อปี 2559



เนื่องจากเธอประสบกับปัญหาชีวิตรุมเร้าหลายด้าน ทั้งด้านการเงินติดขัดและแม่ก็เริ่มล้มป่วย ส่วนเธอเองก็ต้องออกจากงานมาดูแลแม่ ทำให้รายได้ไม่เพียงพอ เธอจึงตัดสินใจประกาศขายที่ดินที่เป็นสมบัติของแม่ ซึ่งมีอยู่หลายแปลงด้วยกัน แต่ประกาศขายเท่าไหร่ก็ขายไม่ออก



เธอจึงขอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการไปขอพรที่เทวสถานแห่งนี้ ที่มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนดูแล โดยทางสามีจะอ้างว่าตัวเองเป็นร่างทรงองค์เทพด้วย ช่วงแรกสองสามีภรรยาคู่นี้ก็แนะนำให้เธอสวดมนต์ขอพรแค่อย่างเดียว อาจจะมีบ้างที่แนะนำให้ปล่อยปลา ถวายสังฆทาน ทำบุญสะเดาะเคราะห์ทั่วไปตามกำลังทรัพย์ กำลังศรัทธา ซึ่งเธอก็เชื่อและทำตามทุกอย่าง



กระทั่งกลางปี 2559 แม่เธออาการทรุดหนักจำเป็นต้องใช้เงินในการรักษาพยาบาลจำนวนมาก อาจารย์ผู้ชายจึงแนะนำให้เธอขอพรจากองค์เทพให้ขายที่ดินได้ หากขายได้จะต้องนำเงินมาถวายที่เทวสถานแห่งนี้ด้วย ตอนนั้น คุณส้ม บอกว่า หมดหนทางที่จะหาเงินแล้วจึงเชื่อและทำตามที่อาจารย์ผู้ชายแนะนำ ปรากฏว่า ไม่นานที่ดินแปลงดังกล่าวก็ขายได้จริงๆ ได้เงินมา 4 ล้านซึ่งตอนนั้นเธอตั้งสัจจะวาจาไว้ว่า ถ้าขายได้จะถวาย 200,000 บาท เธอก็นำเงินไปถวายเทวสถานนี้ตามสัญญา 200,000 บาทและสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เธอเชื่อและศรัทธา



เวลาสองสามีภรรยาบอกให้ทำอะไรเธอก็ยอมทำตามหมด ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมตามเทศกาลต่างๆ รวมถึงการบูชาวัตถุมงคลตามที่สองสามีภรรนาคู่นี้แนะนำ และ ไปๆมาๆ เธอขายที่ดินไปถึง 10 แปลง โดยที่ทุกแปลงต้องแบ่งเงินให้เทวสถานนี้ครึ่งหนึ่ง รวมๆแล้วกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งทุกครั้งเป็นการถอนเงินสดออกมาแล้วนำไปวางหน้าองค์เทพแล้วทำพิธีกรรม



หลังจากนั้นสองสามีภรรยาคู่นี้ก็จะเก็บเงินทั้งหมดไป และยังมีการออกอุบาย ให้เธอนำเงินอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ ฝากไว้กับ เทวสถานด้วย โดยอ้างว่าดวงของเธอนั้นเก็บเงินไม่อยู่ ต้องนำมาฝากไว้ที่นี่ และเวลาจะใช้จ่ายแต่ละทีก็ต้องเบิกออกไป ซึ่งเธอเชื่อและยอมทำตามทุกอย่าง สุดท้าย เธอถึงขั้นทิ้งบ้านและพาแม่ย้ายเข้าไปอยู่ที่เทวสถานแห่งนี้ด้วยเลย เพราะตอนนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับสองสามีภรรยารักและเอ็นดูเธอเหมือนลูกเหมือนหลานอีกคน



โดยระหว่างที่อยู่ในเทวสถาน เธอเป็นเหมือนศิษย์เอกที่จะคอยช่วยเหลืองานเทวสถานทุกอย่าง เวลาทำบุญ ทำทาน เธอจะได้รับหน้าที่สำคัญเสมอ กระทั่งปลายปี 2567 แม่เธอเสียชีวิต ช่วงนี้เองเธอเริ่มมีปัญหากับร่างทรง สองสามีภรรยาคู่นี้ เพราะทางอาจารย์ผู้หญิงมีการให้น้องชายและน้องสะใภ้เข้ามาอยู่ที่เทวสถานด้วย ทำให้เธอมีปากเสียงทะเลาะกับน้องชาย อาจารย์ผู้หญิงอยู่บ่อยครั้ง เธอรู้สึกว่าน้องชายอาจารย์ผู้หญิงจะไม่ค่อยชอบเธอ และมักใช้คำพูดดูถูกด่าทออยู่เสมอเหมือนว่า เธอไปขอกิน ขออาศัย ซึ่งเธอเชื่อว่า น้องชายอาจารย์ผู้หญิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอถวายเงินให้เทวสถานแห่งนี้ไปหลายสิบล้านบาท



สุดท้ายก็มีปัญหาทะเลาะกันถึงขั้นตบตี ทำร้ายร่างกายเธอ ซึ่งเธอเคยไปลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว และ ตัดสินใจเก็บกระเป๋าออกจากเทวสถานแห่งนี้ , ปรากฏว่า เรื่องไม่จบเพราะน้องชายของอาจารย์ผู้หญิงตามมาทวงรถคืน เพราะรถที่เธอใช้อยู่ และเธอเป็นคนผ่อน แต่เป็นชื่อของเมียน้องชายอาจารย์ผู้หญิง



หลังจากนั้นเธอจึงออกจากเทวสถาน โดยไม่มีอะไรติดตัวออกมาเลย มีแค่เงินที่พอเหลืออยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งนำมาลงทุนขายของ และหลังจากที่ออกมาแล้ว เธอจึงมานั่ง คิดทบทวนระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่กับ ร่างทรง จึงรู้ว่า

ตัวเองโดนสองสามีภรรยาหลอก จึงอยากเรียกร้องขอเงินที่เคยถวายไป 50 ล้านคืนบ้างบางส่วนก็ยังดี ซึ่งเธอรวบรวมหลักฐานไว้ได้ประมาณ 19 ล้านบาท



เพื่อความเป็นธรรมทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ จึงเดินทางไปเทวสถาน เพื่อสอบถาม อาจารย์ผู้หญิง ร่างทรง บอกว่า คุณส้มเข้ามาเป็นลูกศิษย์ และใช้ชีวิต กินอยู่ในเทวสถานแห่งนี้จริง โดยที่เข้ามาครั้งแรกมาแบบน่าสงสารอ้างว่า ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน มาขอกินข้าวสักมื้อ ด้วยความสงสารเธอก็เปิดบ้านต้อนรับ แล้วก็มีการพูดคุยถามสารทุกข์ สุขดิบกัน จนเกิดความสนิทสนมไว้เนื้อเชื่อใจ ถึงขั้นให้คุณส้ม พาแม่ที่ป่วย ย้ายเข้ามาอยู่ในเทวสถานแห่งนี้ ด้วยเลย เพราะตอนนั้นคุณส้มจะคอยช่วยเหลืองานต่างๆภายในเทวสถาน



โดยที่ตอนนั้นคุณส้มก็เอาแฟนมาดูแลแม่ให้ เธอก็ให้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันทั้งหมด ดูแลกันเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งยอมรับว่าเธอและสามีรักและเอ็นดูคุณส้มมาก เธอก็พาสวดมนต์ขอพรจากองค์เทพปกติไม่เคยมีการเรียกร้องทรัพย์สินเงินทองแต่อย่างใด



ส่วนที่คุณส้ม บอกว่า ขายที่ดินและถวายเงินครึ่งหนึ่งให้กับเทวสถาน อาจารย์ผู้หญิงยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่ความตั้งใจนี้เริ่มมาจากตัวคุณส้ม เข้ามาปรึกษากับอาจารย์ผู้ชาย หาวิธีอย่างไรในการขายที่ดินได้ เพราะคุณส้มบอกว่า ประกาศขายมาเป็น 10 ปี แต่ขายไม่ออก อาจารย์ผู้ชายจึงแนะนำให้ขอพรกับองค์เทพ โดยตั้งสัจจะวาจาว่า หากขายที่ดินได้จะนำเงินมาถวายเท่าไหร่ก็ว่าไป ซึ่งการพูดการสวดขอพรแต่ละครั้งคุณส้มจะเป็นคนพูดเองทั้งหมดบอกว่าหากขายได้จะถวายเงิน ซึ่งปรากฏว่าก็ขายได้จริงและคุณส้ม ก็นำเงินมาถวายให้เทวสถาน รวมๆแล้วหลายสิบล้านบาท แต่ไม่ถึง 50 ล้านตามที่ คุณส้มกล่าวอ้าง ตอนนี้จะมาขอคืน อาจารย์ผู้หญิงบอกว่าไม่มีคืนให้หรอก เพราะเงินส่วนนี้ เธอและสามีก็นำไปทำบุญ ทำทานบริจาคของ ให้กับคนยากไร้และตามโรงเรียน ต่างๆแล้ว



สาเหตุที่นางสาวส้มต้องออกจากเทวสถานไป อาจารย์ผู้หญิงยอมรับว่า มีปัญหากับเธอและน้องชายของเธอจริง เพราะนางสาวส้ม ไม่พอใจที่ต้องนำเงินในส่วนของตัวเองมาฝากไว้ที่เทวสถานเวลาจะใช้ต้องมาเบิก แต่ที่เธอทำแบบนี้เพราะเธอหวังดี เพราะส้มติดผู้หญิง นำเงินที่ได้จากการขายที่ไปเปย์ผู้หญิงหมด สุดท้ายเงินก็หมดจริงๆและแถมยังติดหนี้เธออีก 4 ล้านบาท ที่ยืมไปรักษาแม่



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/5av9gvGPhG4

แท็กที่เกี่ยวข้อง  สายมู ,ร้องเรียน

คุณอาจสนใจ

Related News