สังคม
สาวสืบรู้ความจริง พ่อเป็นตำรวจยศ "พ.ต.อ." ไปหาเจอไล่ สุดเคว้ง ซ้ำแม่ป่วยหนัก
12 พ.ค. 2568
8.5K views
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอตามหาพ่อจนสืบรู้ความจริง ว่าพ่อเป็นนายตำรวจยศใหญ่ อยู่มาวันหนึ่งแม่เธอป่วย เธอจึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากพ่อแท้ๆสุดท้ายก็ถูกปฏิเสธ
โดยมีผู้ใช้เฟสบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เรื่องราวสุดหดหู่ หลังลูกสาวของพนักงานในร้านตามหาพ่อ รู้ความจริงเป็นถึงนายตำรวจยศใหญ่ แต่กลับถูกไล่อย่างหมูอย่างหมา โดยเธอเล่าว่า
ในเฟสบุ๊กดังกล่าวระบุข้อความว่า มีพี่คนนึงที่ทำงานกับเรามานานค่ะ เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว พาน้องมาอยู่ด้วยกันที่ร้านตั้งแต่ยังเด็ก พวกเราทุกคนรักและเอ็นดูน้องเหมือนลูกเหมือนหลาน คอยช่วยกันดูแล สร้างรอยยิ้มให้เขาโตมาอย่างเข้มแข็งและสดใส
ที่ผ่านมา เราบอกน้องเสมอว่า "ป๋าอยู่ต่างประเทศ" เพื่อให้น้องสบายใจ ไม่รู้สึกขาดอะไรไป แต่เมื่อไม่นานมานี้ น้องโตพอจะค้นหาคำตอบเองได้ จึงลองเสิร์ชชื่อพ่อจากสูติบัตรใน Google แล้วก็พบว่าพ่อแท้ๆ ของตัวเองเป็นถึงนายตำรวจ ยศ พันตำรวจเอก มีตำแหน่ง มีชื่อเสียง และดูเหมือนจะเป็นคนดีมากในภาพลักษณ์สื่อ
แต่น่าเศร้าที่ชีวิตจริงไม่เหมือนในละคร น้องพยายามติดต่อไปหาท่านที่ทำงาน ท่านไม่ออกมาพบ ส่งลูกน้องมาด่าว่าอย่ามายุ่ง น้องลองอีกครั้ง ไปหาท่านด้วยหัวใจที่หวังจะได้คำพูดดีๆ สักประโยค กลับถูกตะคอกว่า "มาทำไม"
จนสุดท้ายนัดเจอกันที่สถานที่แห่งหนึ่ง … น้องเล่าความฝันว่าอยากเรียนมหาวิทยาลัย อยากให้พ่อช่วยดูแลบ้าง เพราะแม่ก็เริ่มป่วย ทำงานหนักไม่ไหวเหมือนแต่ก่อน น้องเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ทำ Part-time บ้าง แต่รายได้ยังไม่มากพอที่จะดูแลตัวเองและแม่
คำตอบที่ได้ไม่ใช่ความเข้าใจ ไม่ใช่ความเอ็นดู แต่คือ "เรียนอะไร? ไม่ไหวหรอก จะให้ส่งเสียเหรอ ไปขอทุน ไปกู้เอาเอง" แล้วก็…จบด้วยการบล็อกเบอร์ และกำชับว่า "อย่ามาที่ทำงานอีก ผมจะได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่อยากมีเรื่อง
คุณพ่อคะ ออกสื่อบ่อยนะคะ เห็นมอบทุนช่วยเหลือเด็กหลายองค์กร แต่ลูกแท้ๆ ของคุณ กลับถูกผลักไสให้เป็น "คนไม่มีตัวตน" นั่งร้องไห้ในมุมมืดด้วยหัวใจที่แตกสลาย วันนี้เราไม่เงียบอีกต่อไป เราอยากให้ทุกคนรู้ว่า มีนายตำรวจมียศท่านหนึ่ง ที่ทิ้งลูกของตัวเองให้ไร้อนาคต ทั้งที่เด็กคนนั้นน่ารักมาก และมีความฝันเหมือนเด็กทั่วไป
ทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ได้พูดคุยกับ คุณเพียว นายจ้างของแม่หนูดี เล่าว่า แม่ของน้องชื่อ "พี่รุ่ง" อายุ 57 ปี มาทำงานเป็นพนักงานร้านนวดของเธอมานานกว่า 7-8 ปี และเธอเมื่อรู้ว่าพี่รุ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูกสาวที่ต้องดูแล จึงชวนทั้งสองมาอาศัยอยู่ที่ร้านด้วยกัน ตั้งแต่น้องหนูดีอายุประมาณ 9 ขวบ
-หนูดีจะคอยช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร้าน และพยายามหารายได้ช่วยแม่ด้วยการทำงานพาร์ตไทม์ ทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูกมาแบบนี้ตลอด โดยที่ไม่มีพ่อเข้ามาในชีวิตของทั้งคู่เลยและหนูดีจะทราบจากแม่เพียงว่า "พ่อทำงานต่างประเทศ" ต่อมา ตอนหนูดี อายุ 13 ปี หนูดีเริ่มรู้จากแม่ว่า พ่อแท้ๆ ของเธอเป็นใคร มีสูติบัตรระบุชื่อชัดเจนว่า เป็นนายตำรวจ แต่หนูดีไม่เคยรบเร้าให้ใครพาเธอไปตามหาพ่อเลยตลอด 3 ปีที่รู้ความจริง
กระทั่งเมื่อเมื่อปลายปีที่แล้ว 2567 แม่เริ่มมีอาการเจ็บป่วย ทำงานได้น้อยลง รายได้ก็เริ่มหดหาย และ หนูดีก็เรียนจบชั้น ม.3 พอดี ซึ่งหนูดียังค้างค่าเทอมตอน ม.3 อยู่ ต้องหาเงินมาจ่ายค่าเทอมก่อนถึงจะได้รับวุฒิบัตรไปสมัครเรียนต่อ ซึ่งหนูดีอยากเรียนสายอาชีพ ค่าเทอมประมาณ 10,000 กว่าบาท , หนูดีไม่รู้จะหาเงินจากไหน จึงตัดสินใจขอให้คุณเพียวพาไปตามหาพ่อเพื่อขอความช่วยเหลือ
ครั้งแรกที่ไป ช่วงก่อนปีใหม่ ไปที่ทำงานของพ่อน้องหนูดี ตอนนั้นเป็นพันตำรวจเอก มีลูกน้องหน้าห้องด้วย การจบเข้าพบก็ยุ่งยายนิดหน่อย ต้องแจ้งว่า เป็นใคร นัดไว้หรือไม่ ซึ่งเธอก็แจ้งไปว่า น้องหนูดีลูกสาวท่านมาขอพบ บรรดาลูกน้องก็ทำหน้าตื่นตกใจและเข้าไปรายงานนาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ออกมาพบ ส่งลูกน้องมาบอกว่าให้กลับไปก่อน เดี๋ยวจะติดต่อมาเอง , เธอและน้องหนูดีก็รอไปอีกหลายเดือน ก็ยังเงียบ
กระทั่งประมาณ 2 เดือนผ่านมา คุณเพียวจึงพาน้องไปอีกครั้ง คราวนี้ลูกน้องบอกว่า ผู้บังคับบัญชาไปตรวจสุขภาพให้ไปรอที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จนในที่สุดก็ได้เจอกันจริง
เธอจึงเปิดโอกาสให้พ่อลูกได้คุยกันส่วนตัว ซึ่งทั้งคู่ขึ้นไปคุยกันบนรถ นานเป็นชั่วโมง เธอแอบสังเกตุเห็นน้องหนูดี ร้องไห้ตลอดเวลา จึงเข้าไปขัดจังหว่ะเพื่อถามหาข้อสรุป ซึ่งข้อสรุปที่ได้คือ นายตำรวจท่านนั้น ถามลูกว่า "เรียนอะไรเอกชน ไม่ไหวหรอก จะให้ส่งเสียเหรอ ไม่มีหรอก ไปขอทุน ไปกู้เอาเอง" เธอจึงพาหนูดีกลับทันที เพราะเธอรับไม่ได้กับคำพูดของคนเป็นพ่อ เห็นลงเฟสบุ๊คของหน่วยงาน สนับสนุนการศึกษาเด็ก มอบทุน ทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมต่างๆ แต่กลับปัดความรับผิดชอบลูกของตัวเอง
คุณเพียวยังบอกกับทีมข่าวด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจว่า แม้เธอจะเป็นเพียง "นายจ้าง" แต่เธอพยายามเต็มที่ ที่ช่วยน้องหนูนา เธอให้น้องย้ายทะเบียนบ้าน มาอยู่บ้านของเธอ เพื่อให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา เพราะเด็กคนนี้มีความฝัน มีความตั้งใจ และยังเชื่อว่า พ่อของน้องก็มีศักยภาพมากพอจะช่วยได้
เรื่องร้าวทั้งหมดที่เธอนำมาโพสต์ลง จนกลายเป็นประเด็นขึ้นมา เธอบอกว่า ไม่ได้มีเจตนาทำให้ใครเสียหาย เพราะหากพี่รุ่ง น้องหนูดี หรือ เธอต้องการทำให้ตำรวจท่านนั้นเสียหาย ก็คงโพสต์เรื่องนี้ตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว แต่เหตุการณ์ต่างๆมันบีบรัด เพราะเมื่อ 3 วันก่อน พี่รุ่งอาการทรุดหนัก ต้องหามกันส่ง รพ. สุดท้ายตรวจเจอฝีในสมอง ต้องทำการผ่าตัด และ 18 พ.ค.นี้ หนูดีต้องจ่ายค่าเทอมที่ใหม่แล้ว ไม่งั้นก็ต้องดรอปเรียน เรียนช้ากว่าคนอื่น , เธอจึงตัดสินใจนำเรื่องนี้มาโพสต์ ซึ่งสิ่งที่น้องขอมันไม่ได้มากเกินกว่าหน้าที่ของคนเป็นพ่อเลย และการที่พ่อจะกลับมารับผิดชอบ ดูแลลูกตัวเอง เป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย
น้องหนูดี เล่าว่า ตอนนี้เธอไม่ได้รู้สึกโกรธพ่อแต่แค่รู้สึกเสียใจมากกว่าที่พ่อ ปฏิเสธไม่ช่วยเหลือเธอในเรื่องการศึกษาต่อ โดยยอมรับว่าตอนที่โทรไปหาพ่อครั้งแรกตอนนั้นอายุประมาณ 13 ปี พ่อก็ยังมีคำพูดห่วงใยกับเธอ แต่หลังจากที่เธอพยายามจะไปหาและพูดคุยเรื่องเรียน รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เกี่ยวกับการเรียน พ่อก็บล็อกเบอร์เธอและไม่สามารถติดต่อได้
โดย ความตั้งใจสิ่งเดียว คือ เธออยากได้รับโอกาสทางการศึกษาและอยากเรียนจบสูงๆ เธอฝันอยากเป็นทนายความและที่ผ่านมาเธอกับแม่ไม่เคบไปวุ่นวายหรือรบกวนพ่อเลย แต่ครั้งนี้แม่ไม่สบายหนักและเธอจำเป็นต้องใช้เงิน 10,000 กว่าบาท ซึ่งพ่อเป็นผู้ให้กำเนิดเธอมา จึงมองว่า ถึงแม้จะไม่มีความผูกพันกัน ก็ควรจะรับผิดชอบ ดูแลการศึกษาของเธอได้ส่วนหนึ่งก็พอ
ที่ผ่านมา แม่ไม่เคยพูดด้านไม่ดีของพ่อให้เธอรับรู้ หรือ บอกให้เธอเกลียดพ่อเลย บอกเพียงว่า พ่อเป็นใคร ทำงานอะไรและแม่จะบอกเสมอว่า หนูนิสัยเหมือนพ่อ และ ที่พ่อปฏิเสธช่วยหนู พ่อก็คงลำบากและมีเหตุผลของพ่อ ซึ่งหนูไม่โกรธ และยังไม่รู้ว่า จะเอายังไงต่อเรื่องเรียน , เรื่องแม่ก็สำคัญเพราะในชีวิตหนูมีแค่แม่ หนูหวังให้แม่ผ่าตัดสมองแล้วกลับมาแข็งแรงปกติ
สำหรับตอนนี้หนูดีใจที่มีนายจ้างที่ใจดีและคอยช่วยเหลือหนูมาตลอดเพราะหากไม่มีนายจ้างคนนี้ ชีวิตของหนูกับแม่ก็คงแย่กว่านี้
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/z5T7QYWNjAw
แท็กที่เกี่ยวข้อง