สังคม
น้องปี 1 ร้องรุ่นพี่ หลอกเข้าลัทธิแปลก อ้างเป็นค่ายอาสา 'อดีตพระไพรวัลย์' เคยเตือนลัทธิอันตรายให้ระวัง
โดย JitrarutP
16 ก.ค. 2567
365 views
นักศึกษาร้อง หลังรุ่นพี่มหาวิทยาลัยชื่อดัง พาเข้าลัทธิประหลาด อ้างเป็นค่ายจิตอาสาได้ชั่วโมงหน่วยกิต สุดท้ายพากราบไหว้เทพเจ้าเป็นร้อยเป็นพันองค์ เพื่อให้ได้พาสปอร์ตสวรรค์ไปขอถอนชื่อจากยมบาล
โดยเรื่องนี้เพจโหนกระแสได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ส่งข้อมูลมาว่า มีนักศึกษารุ่นพี่ หลอกนักศึกษารุ่นน้องไปเข้าค่ายจิตอาสา สุดท้ายมีแต่คำสอนแปลกๆที่คล้ายกับพระพุทธศาสนา แต่พากราบไหว้เทพเจ้าเป็นร้อย เป็นพันครั้ง หลังจบค่าย 3-5 วันจะได้รับพาสปอร์ตสวรรค์เอาไว้ถอนชื่อกับยมบาล
ซึ่งจากข้อมูลที่ผู้ร้องเรียนส่งมา ยังมีผู้ที่เคยเข้าร่วมกิจกรรม ออกมาโพสต์เตือนด้วย ระบุว่า เดินทางไปถึงที่นั่น 00:10 น. สถานที่มืดมากไม่มีไฟ ไม่มั่นใจว่ามีกล้องวงจรไหม แต่ตามสายตาไม่มีเลยสักตัวและให้ทำพิธีกรรมแปลกๆ ซึ่งไม่ได้มีแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยเท่านั้น ยังมีนักเรียนมัธยมปลายรวมถึงประชาชนทั่วไปด้วยที่เข้ามาร่วมทำพิธีกรรมประหลาดๆกับลัทธินี้ เช่น การเผาชื่อ, การเจิมหน้าผาก บอกเป็นการเปิดตาที่ 3
เจอสถานที่ดูใน google ขึ้นว่าปิดถาวร, มีค่าใช้จ่ายแต่แจกน้ำ 1 ขวดและใช้การกรอก , เข้าทำกิจกรรมในฐานต่างๆ เจ็บตัวแต่ทางค่ายบอกว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์, มีใบบางอย่างให้เราเซ็นบอกว่าเป็นพาสปอร์ตสวรรค์ใช้ไปบอกยมบาลตอนตาย, รุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่เป็น สต๊าฟ ของลัทธินี้ดูน่ากลัวมากเหมือนจะไม่ปกติ, และพิธีกรรมมีการให้ก้มกราบเทพเจ้าเป็นร้อย เป็นพันครั้ง
ทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์มีโอกาสได้คุยกับนายนุ นักศึกษา อายุ 22 ปี บอกว่าตนเคยไปเข้าร่วมทำกิจกรรมกับลัทธินี้ตอนที่ตนเป็นนักศึกษาปี 1 ของมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคอีสาน
โดยรุ่นพี่จะมาชักชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมบอกว่าเป็นค่ายจิตอาสาทำความดี เก็บขยะ ช่วยทาสี มอบอุปกรณ์ให้โรงเรียน ซึ่งจะได้คะแนนนับชั่วโมงหน่วยกิต, และชั่วโมง กยศ.ด้วย
ตนและเพื่อนจึงพากันไปเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งพอไปถึงสถานที่ไม่เหมือนค่ายจิตอาสา แต่เป็นไร่อ้อยพันๆไร่และมีสถานปฏิบัติธรรม ด้านในจะคล้ายหอประชุมขนาดใหญ่มีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ด้านหน้า มีพระสังกัจจายน์ เจ้าแม่กวนอิมและเทพเจ้าจี้กง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องก้มกราบเทพเจ้าเป็นร้อยๆ พันๆครั้ง ก้มกราบอยู่แบบนั้น และการกราบไม่เหมือนกับการกราบไหว้พระทั่วไป โดยลัทธินี้จะใช้มือกุมกันอยู่กลางหน้าอกและคุกเข่า ยกตัวขึ้น
ตนและเพื่อนเข้าร่วมกิจกรรมอยู่ประมาณ 3 วัน ก็จะมีการให้ทำอะไรแปลก ๆ อยู่ตลอด เช่นเอาขี้ธูปมาเจิมตรงระหว่างคิ้วบอกว่าเป็นจุดศูนย์รวมที่เวลาตายแล้ววิญญาณจะออกตรงนี้
นอกจากนี้ที่ตนรู้สึกขำมากคือหลังเสร็จกิจกรรมจะมีการได้รับพาสปอร์ตสวรรค์ โดยทางลัทธิบอกว่าเวลาตายให้นำพาสปอร์ตนี้ไปเอ่ยชื่อเอ่ยนามบอกกับยมบาลว่าตนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว ยมบาลก็จะได้ปล่อยตัวไปขึ้นสวรรค์
นายนุ บอกอีกว่า สาเหตุที่ตนออกมาร้องสื่อ ขอให้ตรวจสอบเพราะอยากได้คำตอบว่าลัทธินี้ว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ และมีการพานักศึกษาเข้าร่วมลัทธิผ่านชมรมของมหาวิทยาลัย จึงอยากได้คำตอบจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยว่ามีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ เพราะเท่าที่ตนทราบมีการพานักศึกษาไปเข้าร่วมลัทธินี้มาแล้ว 10-20 ปี
ด้านอาจารย์จตุรงค์ จงอาสา นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา เปิดเผยถึงลัทธิดังกล่าวว่า สำหรับตนเอง มองว่า เป็นลัทธิอันตรายเพราะเป็นปัญหาของสังคมมาอย่างยาวนาน ชอบแทรกซึมมาตามมหาวิทยาลัยและโรงเรียน โดยลัทธินี้ชอบอ้างตัวเองว่าเป็นศาสดาของทุกศาสนา เป็นลัทธิมาจากประเทศจีนโดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้จะแทรกซึมเข้ามาอย่างหนักผ่านทางครูบาอาจารย์และลามมาถึงตัวนักเรียนนักศึกษา
ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีข่าวนำเสนอเกี่ยวกับลัทธินี้แล้วหลายครั้ง ว่านักเรียนมักจะถูกบังคับให้ไปเข้าร่วมทำพิธีกรรมกับลัทธินี้ ตนขอฝากไปถึงครูบาอาจารย์ว่าอย่าบังคับนักเรียนนักศึกษาให้ไปเข้าร่วมลัทธิด้วยวิธีการขู่ว่าจะตัดคะแนน
โดยลัทธินี้มีชื่อว่า 'ลัทธิอนุตตรธรรม' มักชอบเคลมคำสอนของทุกศาสนาว่าเป็นของลัทธิตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้คุณแพรี่ ไพรวัลย์ เคยออกมาเตือนในสมัยที่ยังเป็นพระอยู่ด้วยว่า ลัทธินี้เป็นลัทธิอันตรายให้ระมัดระวัง
ผู้สื่อข่าวได้คุยกับหญิงสาวรายหนึ่งที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว กล่าวว่า ตอนนั้นเธอเรียนอยู่ชั้น ม. 4 ผ่านมาแล้วเกือบ 10 ปี เคยไปร่วมกิจกรรมแบบนี้ 1-2 ครั้ง ให้ฟิลแบบค่ายคุณธรรม โดยเธอเล่าว่า คุณครูเป็นคนพาไป ซึ่งตอนนั้นที่ไปไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าไปกับเพื่อน ฟิลไปค่ายไปสถานธรรม ในค่ายจะให้กินเจ มีการกราบตามที่ปรากฎในคลิปที่ลงในโซเชียล ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอมาเห็นคลิปที่มีการส่งต่อกันมาก็ เอ๊ะ เริ่ม งง ว่ามันเป็นยังไง อิหยังวะ
โดยกิจกรรมก็จะมีการกราบ และให้กินอาหารเจ มีคำสอนเรื่องกราบพระ กราบเทพเจ้าหลายครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้มีการบังคับหรืออะไร อาหารเจก็โอเค ให้นอนที่สถานธรรม พอเสร็จจากกิจกรรมก็มีการ์ดเจ้าแม่กวนอิมมาให้ แล้วบอกว่าให้เก็บไว้ แต่ถ้ากินเนื้อก็จะอาเจียน ส่วนตัวก็เลยไม่เอาการ์ดไว้กับตัว และเธอก็ทานเนื้อสัตว์ ซึ่งในขณะที่เพื่อนๆ ที่เคยไปด้วยกันก็ทานเนื้อสัตว์กันหมดทุกคน ก็ไม่ได้มีอาการอะไร
ผู้ดูแลสถานปฏิบัติธรรม แจงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิประหลาด อ้างกลุ่มนักศึกษาที่เป็นข่าว มาเช่าสถานที่จัดกิจกรรมเท่านี้ ขณะที่มหาลัยฯ ทราบเรื่องแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังสถานที่ ที่นักศึกษาระบุว่าไปเข้าค่ายในพื้นที่ ต.โชคชัย อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของ พุทธสถานไท่หลิน ฝอเอวี้ยน เพื่อพบกับผู้ที่ดูแลสถานที่ดังกล่าว โดยภายในสถานที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยอาคารหลัก ตั้งอยู่ตรงกลางเป็นสถานที่ใช้ในการปฏิบัติธรรม ขณะที่บริเวณโดยรอบจะมีโรงครัว ที่พัก และห้องน้ำจัดเตรียมไว้ สำหรับผู้ที่มาเข้าค่ายและปฏิบัติธรรม
สอบถาม อาจารย์ชัชวาล อารยะวงค์ชัย อายุ 69 ปี ผู้ดูแลสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ บอกว่า โดยเริ่มแรกพื้นที่แห่งนี้เป็นที่ดินของตนเอง และตนได้สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ร่วมกับผู้ที่มีจิตศรัทธา เพื่อใช้สำหรับสอนผู้คนตามหลักธรรม คำสอนในแนวของพระพุทธเจ้า
ก็คือ สอนให้ทุกคนเป็นคนดี ซึ่งวิธีก็จะแตกต่างจากกันออกไป โดยส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่ทุกคนต้องกินเจเป็นหลัก ส่วนที่มีการโพสต์ในโซเชียลเกี่ยวกับการสอนแบบประหลาดๆ นั้น ทางตนไม่รู้เรื่อง เพราะพวกเขามาเช่าสถานที่จัดกิจกรรมเข้าค่าย ซึ่งการสอนก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละค่าย หรือคนที่มาจัดปฏิบัติธรรม
อาจารย์ชัชวาล ยังกล่าวว่า ปกติสถานที่แห่งนี้ก็จะนำนักเรียนในพื้นที่ใกล้เคียงมาปฏิบัติธรรมเป็นประจำ และไม่ได้มีแค่นักเรียกนักศึกษาเท่านั้นที่มา มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมด้วยตลอด ส่วนเรื่องของพาสปอร์ตสวรรค์ ก็เป็นแค่กุศโลบายเท่านั้น
ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.ประยุกต์ ศรีวิไล รักษาราชการแทนอธิการดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า ทางมหาวิทยาลัยฯ ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว ขณะนี้ให้ทางกองกิจการนิสิตฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่ทราบว่า มีนิสิตเข้าร่วมจำนวนกี่คน และสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายให้กับนิสิตหรือไม่ หรือมีใครหลอกให้เข้าร่วมกิจกรรมนี้
ซึ่งหากมีนิสิตถูกหลอกให้ไปร่วมกิจกรรมก็อยากให้มาแจ้งที่กองกิจการนิสิตฯ เพื่อที่จะได้รวบรวมหลักฐานเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถ้าเป็นบุคคลภายนอกก็จะได้แจ้งให้ตำรวจดำเนินคดี แต่หากเป็นนิสิต หรือบุคคลในมหาวิทยาลัยฯ ก็จะดำเนินการลงโทษทางวินัยตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเบื้องต้นทราบว่าไปจัดขึ้นที่ จ.มุกดาหาร มีการชักชวนว่าไปแล้วจะได้ชั่วโมง กยศ. แต่ในการที่จะได้ชั่วโมง กยศ. ทางมหาวิทยาลัยฯ กำหนดว่า กิจกรรมที่จะนับชั่วโมงนั้น ต้องเป็นกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยฯ กำหนดเอง และทางมหาวิทยาลัยฯ ก็ไม่มีนโยบาย หรือส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวที่ไม่ได้จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยฯ ในทุกกรณี โดยเรื่องดังกล่าวทางมหาวิทยาลัยฯ จะดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุด