สังคม

ตร.เผยคดีเก่าปี 65 อดีตพนักงาน บ.ดัง ยันดำเนินคดีเมาแล้วขับได้ สรุปสำนวนแล้ว แต่ไม่ได้ส่งฟ้องศาล

โดย JitrarutP

1 พ.ค. 2567

54 views

เปิดคดีเก่าปี 65 ของอดีตพนักงาน บ.ดัง ปฏิเสธเมาแล้วขับ อ้างปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้นสูง เพราะสเปรย์แอลกอฮอล์ ตร.เจ้าของคดี เผยสรุปสำนวนเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้ส่งฟ้องศาล เพราะถูกสั่งย้าย

จากเหตุการณ์เมื่อช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา อดีตซีอีโอหญิง บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง ถูกตำรวจ กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ซึ่งตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ที่ถนนมอเตอร์เวย์ มุ่งหน้าสุวรรณภูมิ จับกุมในข้อหาเมาแล้วขับ หลังวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์

เรื่องนี้เกิดความชุลมุนขึ้นหลายเหตุการณ์ ทั้งอดีตซีอีโอปฏิเสธที่จะไปทำบันทึกจับกุม ที่ สน.ประเวศ ทำให้ตำรวจต้องไปเจรจา และขอที่จะใส่กุญแจมือ จนไปถึงอดีตซีอีโอรายนี้ ใช้เท้าถีบหน้าพันตำรวจโทดาราธร ขจรศิลป์ รองผู้กำกับการ 5 ซึ่งพยายามเข้าไปควบคุมตัวอดีตซีอีโอ ขณะอยู่ในรถตำรวจ เพราะซีอีโอรายนี้ ดิ้นและขัดขืนไม่ยอมไปโรงพัก และเมื่อไปถึงที่โรงพัก อดีตซีอีโอยังพูดตอบโต้กับตำรวจว่าชั้นต่ำ

ต่อมา พันตำรวจโทดาราธร ได้แถลงเปิดใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ถูกอดีตซีอีโอถีบหน้าจริง ไม่ใช่อุบัติเหตุ เพราะพูดด้วยว่า ได้ถีบหน้าตนเองไปแล้ว ต่อมาเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 28 เมษายน อดีตซีอีโอเข้ามาพบกับตำรวจ สน.ประเวศ โดยยอมรับว่าวันนั้นเมาจริง แต่ไม่ได้จงใจถีบหน้าตำรวจ และวันนั้นต้องรีบกลับไปหาลูก เพราะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว

นอกจากนี้อดีตซีอีโอ ยังปฎิเสธว่าไม่เคยถูกตำรวจ สน.ประเวศ ดำเนินคดีเมาแล้วขับ เมื่อเดือนสิงหาคมปี 65 ตามที่มีตำรวจให้ข่าว

ล่าสุดพันตำรวจเอกสุรพงษ์ พุฒขาว ผู้กำกับการ สน.ประเวศ ชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า อดีตซีอีโอถูกตำรวจจราจรกลาง นำตัวมาดำเนินคดีเมาแล้วขับเมื่อปี 65 จริง โดยวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ แต่ตอนนั้น อดีตซีอีโอให้การปฏิเสธข้อหาเมาแล้วขับ โดยให้การว่าสาเหตุที่ทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้นสูง มาจากสเปรย์แอลกอฮอล์ ที่ผู้ต้องหาพกติดตัวและใช้เป็นประจำ และใช้ฉีดฆ่าเชื้อตามร่างกาย มือ ช้อน ส้อม รวมไปถึงได้ฉีดใส่เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ด้วย เนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงโควิด-19

พนักงานสอบสวนได้ส่งขวดแอลกอฮอล์ของอดีตซีอีโอ ไปตรวจพิสูจน์ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ตรวจและรายงานผลกลับมา ซึ่งทางตำรวจไม่สามารถเปิดเผยผลการตรวจได้ แต่ยืนยันได้ว่าจากหลักฐานอื่นๆ ก็แน่นหนาพอที่จะดำเนินคดีเมาแล้วขับได้

ต่อมาพนักงานสอบสวนรายนี้ สรุปสำนวนเสร็จเรียบร้อย และเตรียมส่งฟ้องศาลจังหวัดพระขโนง แต่มีคำสั่งถูกสั่งโยกย้ายไปปฏิบัติงานที่อื่นก่อน จึงทำให้ยังไม่มีการส่งฟ้องอดีตซีอีโอ และหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการมอบหมายให้ พนักงานสอบสวนคนอื่นมารับช่วงต่อ จึงทำให้สำนวนยังอยู่ที่ สน.ประเวศ แต่คดีนี้มีอายุความ 5 ปี ซึ่งสามารถดำเนินการนำตัวอดีตซีอีโอมาส่งฟ้องย้อนหลังได้ โดยนัดส่งตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้

เรื่องนี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีคำสั่งให้ตั้งกรรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว ว่าเป็นความบกพร่องของใคร โดยจะต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานสอบสวนที่ทำคดี ผู้บังคับบัญชา รวมถึงตนเอง ซึ่งเป็นผู้กำกับ

ล่าสุดทีมข่าวอาชญากรรม โทรศัพท์ไปสอบถามกับร้อยเวร ที่ทำคดีเมาแล้วขับของอดีตซีอีโอรายนี้ เมื่อปี 65 โดยพบว่าปัจจุบันร้อยเวรรายนี้ มียศพันตำรวจตรี อยู่ที่ สน.นางเลิ้ง

พนักงานสอบสวนรายนี้ เปิดเผยว่า วันที่ตำรวจจราจรกลางนำตัวอดีตซีอีโอมาให้ทำบันทึกจับกุม ได้อธิบายถึงขั้นตอนและข้อหาที่จะดำเนินคดี แต่ผู้ต้องหาปฏิเสธว่าไม่ได้เมา โดยบอกว่าปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้นสูง เพราะเครื่องตรวจปนเปื้อนกับแอลกอฮอล์ที่ฉีดเพื่อฆ่าเชื้อ ตนเองก็ได้เอาแอลกอฮอล์ส่งตรวจเพื่อความเป็นธรรม และคืนนั้นก็อนุญาตให้อดีตซีอีโอประกันตัว เพราะตัวเขาต่อสู้คดี แต่จากการสังเกตอาการของอดีตซีอีโอ ส่วนตัวเห็นว่ามีอาการเหมือนคนเมาสุรา

จนต้นเดือนมกราคมปี 66 ได้สรุปสำนวนเสร็จเรียบร้อย แต่ยังไม่ได้ส่งฟ้องศาล เพราะติดภารกิจต้องไปฝึกอบรม จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ถูกคำสั่งย้ายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่อื่น จึงทำให้ยังไม่ได้ส่งสำนวนส่งฟ้องอดีตซีอีโอ แต่ก็ได้ส่งสำนวนให้กับทางโรงพัก เพื่อให้ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้พนักงานสอบสวนรายอื่นรับช่วงต่อตามขั้นตอนแล้ว จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าจนถึงขณะนี้ ยังไม่ส่งฟ้องอดีตซีอีโอรายนี้ ทั้งที่สำนวนเสร็จแล้ว ยอมรับว่าตกใจ โดยหลังจากนี้จะต้องไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีนี้เช่นกัน

ขณะที่นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า กรณีเมาแล้วขับ หากผู้ต้องหารับสารภาพ พนักงานสอบสวน จะต้องส่งฟ้องศาลภายใน 48 ชั่วโมง แต่กรณีที่ผู้ต้องหาปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว โดยหากยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนจะต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อผลัดฟ้องผู้ต้องหาซึ่งทำได้ 5 ผลัด คือ 30 วัน ถ้ารวมกับ 48 ชั่วโมง คือ 2 วันก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าจะต้องสั่งฟ้องผู้ต้องหาภายใน 32 วัน แต่หากเกิน 32 วัน พนักงานสอบสวนจะสั่งฟ้องผู้ต้องหาได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุด ส่วนกรณีที่บอกว่าอายุความ 5 ปี หมายถึงกรณีที่ผู้ต้องหาหลบหนี แต่หากไม่มีการหลบหนีก็ต้องส่งฟ้องภายใน 32 วัน


รับชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/hqvV71XvAws

คุณอาจสนใจ