สังคม

วิวาห์ 5 วันแตกหัก! เจ้าบ่าวทวงสินสอดคืน เจ้าสาวแจงปมเลิก ฉะเจ้าบ่าวหน้าเงิน ทวงยันเงินค่าซอง

โดย paweena_c

25 มี.ค. 2567

1.3K views

บ่าว-สาว แต่งงาน 5 วันเลิก เจ้าบ่าวโพสต์ตัดพ้อขอสินสอดคืน แต่ฝ่ายหญิงปฏิเสธ ด้านเจ้าสาวเปิดใจจุดแตกหัก พร้อมแจ้งความถูกกล่าวหาว่าหลอกแต่งงาน

โลกออนไลน์มีการแชร์โพสต์ของหนุ่มราชบุรีรายหนึ่ง หลังออกมาโพสต์ภาพงานแต่งและข้อความว่า "มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ที่มาบอกว่ารักกัน แต่งงานกันไม่ถึง 4-5 วัน ผู้หญิงขอเลิก บอกว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ถ้าเลิก เราก็อยากจะได้สินสอดเราคืน สินสอด 2 แสน ทอง 2 บาท เขาก็ไม่ยอม บอกว่าเป็นของเขาแล้ว ก็ให้เราไปฟ้องศาลเอาเองถ้าอยากจะได้ แล้วแบบนี้จะเรียกว่ารักหรือ แค่เรื่องทะเลาะกันก็มาขอเลิก แบบนี้มันง่ายเกินไปมั้ย"

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบ คุณนัท อายุ 31 ปี เจ้าบ่าว อยู่ที่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เปิดใจว่า ตนคบกับฝ่ายหญิงมา 2 ปีเศษ เข้าปีที่ 3 ช่วงที่คบหาดูใจกัน ยอมรับทะเลาะกันบ่อย แบบเลิกกันก็กลับมาคบกันใหม่ ตนเองก็เป็นผู้ชายที่ขี้หึงเป็นเรื่องธรรมดา จนเวลาผ่านไปก็ตกลงแต่งงานกัน และให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ และแต่งงานกันเมื่อ 16 มีนาคมที่ผ่านมา

แต่ปรากฎว่าแต่งงานได้แค่ 5 วัน ก็มีปัญหาทะเลาะ ฝ่ายหญิงขอเลิก ซึ่งต้นตอปัญหาก็มาจากเรื่องเงินเป็นส่วนใหญ่ คือเรื่องค่าใช้จ่ายในงานแต่ง ทั้งเรื่องเงินค่าโต๊ะจีน 30 โต๊ะ เป็นเงิน 40,000 บาท ทางฝ่ายแม่เจ้าสาวจะให้ช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง เพราะเขาบอกว่าแขกทางเจ้าบ่าวเยอะ

แต่มันยังมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีก คือ ค่าออแกไนซ์ ทางคุณนัทบอกว่า จ่ายมัดจำไปส่วนหนึ่งแล้ว ยังเหลือประมาณ 13,900 บาท ค่าช่างแต่งหน้า 5,900 บาท คุณนัทเลยบอกว่าที่จะให้ช่วยค่าโต๊ะจีน 20,000 ตนเองจะจ่ายในส่วนนี้ทั้งหมด ก็ประมาณ 20,000 บาทเหมือนกัน แล้วค่าโต๊ะจีนทางฝ่ายหญิงก็จ่ายเหมือนเดิม ก็คือจบไป ส่วนเรื่องซองงานแต่งจะอยู่ที่ทางแม่ตนส่วนหนึ่ง และอยู่ที่แม่ผู้หญิงส่วนหนึ่ง ซึ่งเรายังไม่ได้แกะหรือนับซองแต่อย่างใด

หลังเข้าหอแล้ว 3 วัน ฝ่ายหญิงขอกลับไปทำงานถึงสิ้นเดือนแล้วจะลาออก ซึ่งก็ตกลงกันด้วยดี ตนก็ไปส่งตามปกติ แต่พอกลับมาถึงบ้าน เขาสอบถามเรื่องซองงานแต่ง ทำให้ทะเลาะกันอีก ซึ่งตนไม่รู้เลยว่าทางฝ่ายเขายอดเงินเท่าไหร่ เขาบอกแค่ว่า 17,000 บาท ส่วนซองที่อยู่กับแม่ของตน แม่ยกให้หมดเลย เพราะซองเป็นเหมือนส่วนรวมระหว่างเราสองคน เพื่อเอาไปจัดแจงค่าใช้จ่ายที่เหลืออยู่

แต่ทางฝ่ายหญิงก็ยังชวนทะเลาะ เพราะมันมีค่าใช้จ่าย คือค่ารูป ที่ต้องจ่ายคนละครึ่ง ซึ่งตนจ่ายไปแล้ว เหลือทางฝั่งของเขา 3,500 พอถามเขาไป ก็พูดจาประชดประชัน ว่าจะเอาเงินสินสอดคืนเลยไหม "ไม่ติดนะ ได้นะ" พอถามว่า "ทำไมพูดอย่างนี้หละ" "จะเลิกหรอ" เขาก็ตอบมาว่า "เลิกได้นะ เรารับได้หรือเปล่า"

ทางคุณนัทเลยถามกลับไปว่า "ถ้าจะเลิกแล้วให้คืนสินสอดมาเธอรับไหวไหม" จากนั้นได้โทรคุยกับทางแม่ของเจ้าสาว บอกว่า "ลูกแม่บอกว่าสินสอดจะคืนก็ได้นะ แต่เขาขออยู่บ้านดีกว่า พูดประมาณเหมือนว่าไม่อยากกลับมาแล้ว ขออยู่บ้านดีกว่า สบายใจกว่า ทำงานเก็บเงินดีกว่า อยู่บ้านตนไม่มีแดก"

สักพักทางพี่ชายของผู้หญิงโทรมาเคลียร์ แต่ก็มีปากเสียงกันจนต้องไปโรงพัก เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งสุดท้ายทางฝ่ายหญิงบอกว่าจะไม่กลับมาแล้ว คุณนัท จึงทวงเงินสินสอดคืน แต่ทางฝ่ายหญิงบ่ายเบี่ยงไม่คืน ตำรวจช่วยไกล่เกลี่ยบอกว่าคืนซัก 50,000 บาทก็ยังดี เขาก็ไม่คืน

จากนั้นพอกลับมาบ้าน ตนไม่รู้จะทำยังไง จึงโพสต์เรื่องราวในเฟซบุ๊กขอความเป็นธรรม เพราะแต่งงานได้แค่ 5 วันก็เลิก เงินที่จัดงานแต่งหมดไปเกือบ 4 แสน สินสอด 2 แสน กับทองอีก 2 บาท ก็ไม่ใช่น้อยๆ ตนนำเงินเก็บในชีวิตมาใช้ทั้งหมด หวังจะขอแค่สินสอดคืนบางส่วนก็เท่านั้น

ต่อมาทีมข่าวไปคุบกับคุณบีม ฝั่งเจ้าสาว ขอชี้แจงในฝั่งของตัวเอง โดยบอกว่า ตอนนี้ยังไม่ได้เลิกกับทางเจ้าบ่าว แต่ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตด้วยกันได้ เพราะสิ่งที่เขาทำ ทำให้ตนและครอบครัวเกิดความอับอาย ทั้งจากงานแต่งที่เพิ่งผ่านมา ทั้งจากที่เขาเอารูปไปโพสต์ข้อความ จนรถทัวร์มาลงที่หน้าบ้าน คนที่เขาไม่เข้าใจก็มาด่าว่าฝั่งเจ้าสาวในทางเสียหาย

ที่มากล่าวหาว่า ตนเชิดสินสอดหนี ไม่จริงนะ เพราะยังไม่ได้เลิกกัน ส่วนเรื่องที่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องเงินค่าใช้จ่ายในงาน ที่คุยกันแล้วไม่เข้าใจกัน นอกจากนี้หลังแต่งงานได้อยู่ที่บ้านเจ้าบ่าว 3 วัน ตามพิธี ก็ขอกลับมาอยู่ที่บ้านตัวเอง ขอใช้ชีวิตอยู่กับบ้านซักพักหนึ่ง และขอทำงานที่ร้านกาแฟถึงสิ้นเดือน เพราะตัวเองก็มีหนี้ ไม่อยากเอาหนี้ไปผูกกับทางเจ้าบ่าว คือแต่งงานกันไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันก็ได้ ถ้าคนเรารักกันจริงอยู่ที่ไหนมันก็รัก

แต่ฝ่ายชายกลับบอกว่า "มึงแต่งงานกับกูแล้วมึงต้องอยู่กับกู มึงต้องไปทำไร่กับกู" ก็เลยถามกลับไปว่า ทำไมเจ้าบ่าวไม่มาอยู่กับตนที่บ้าน หรือมาทำงานที่นี่ไม่ได้หรอ เขาก็บอกว่า เงินเดือนมันพอไหม ตนก็บอกไปว่า งานมันมีหลายหน้าที่ ถ้าเจ้าบ่าวคิดจะทำมันก็พอ แต่ถ้าตนไปอยู่ที่บ้านเจ้าบ่าว มันจะไหวไหม เพราะหนี้สินตนเองก็มี เขาก็บอกว่ายังไงก็พออยู่แล้ว เก็บผักก็ได้เยอะอยู่แล้ว ตนจึงเถียงไปว่า แค่เงินจัดงานแต่งแค่นี้ยังมีปัญหาเลย แล้วถ้าใช้ชีวิตต่อไปนาน ๆ มันจะไม่มีปัญหาจริงหรือ เขาก็เงียบ ใจจริงตนเองอยากทำงานปิดหนี้ให้หมดก่อน ค่อยไปอยู่กับเขา เขาก็ไม่เข้าใจ

ส่วนเรื่องที่เขาไปโพสต์ว่า ตนเองบังคับเขาแต่งงานตั้งแต่ปี 2564 ทั้งที่เพิ่งคบกัน หาว่าแม่ตนเองไปเร่งฝ่ายเขา ซึ่งก็ไม่จริง เรื่องนี้เกิดจากตนจะไปทำงานที่กรุงเทพฯ เจ้าบ่าวก็ขอตามไปด้วย โดยอ้างว่า "ถ้าเองมีคนอื่นหละจะทำอย่างไร" ตนก็บอกว่า จะไปอยู่กับพี่สาวแท้ ๆ คืออยู่หอเดียวกัน ฝ่ายชายก็ขอหมั้นไว้ก่อนได้ไหม แต่แม่ตนเองไม่ให้หมั้น บอกว่าแต่งก็คือแต่งไม่ให้หมั้น เพราะถ้าหมั้นไปไม่ได้แต่งจะทำอย่างไร

สุดท้ายเจ้าบ่าวก็ตามไปอยู่กรุงเทพฯ ได้ 3-4 เดือน แล้วกลับมาอยู่ที่บ้าน ส่วนตนเองก็อยู่ทำงานได้ 1-2 ปี ก็กลับมาอยู่บ้าน มาขายของ ก็ยังคบกันเรื่อยมา จนวันหนึ่งแม่เจ้าบ่าวพูดขึ้นมาว่า "เดี๋ยวจะไปขอ" ทั้ง ๆ ที่ตนไม่ได้เร่ง โดยมีเวลาเตรียมงานแต่ง 3 เดือน ก็รีบเตรียมงานแต่งจนทุกอย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่ครบทุกอย่าง แล้วก็ตกลงกันว่า ค่าโต๊ะจะจ่ายกันคนละครึ่ง เราจะเอาเงินค่าซองช่วย เจ้าบ่าวก็บอกว่าโอเค ขาดเหลืออะไรเดี๋ยวจะช่วยไป

แต่พอใกล้จบงาน แม่เจ้าบ่าวกลับพูดขึ้นมาว่า "แม่เจ้าสาวเอาเงินสินสอดควักจ่ายไปก่อนนะ เงินซองทางนี้ยังแกะไม่ได้รอให้ครบ 3 วัน" แล้วแม่เจ้าบ่าวก็หอบซองใส่กระเป๋ากลับบ้านไปหมดเลย แล้วญาติเขาก็มากันตั้ง 30 โต๊ะ จากที่ขอไปแค่ 20 โต๊ะ เหลือที่นั่งให้ญาติฝั่งเจ้าสาวไม่ถึง 5 โต๊ะ ทำให้ตนเองรู้สึกอับอาย แถมยังไปเร่งให้อาหารโต๊ะจีนออกก่อนกำหนดการอีกเป็นชั่วโมง โดยไม่รอญาติฝ่ายเจ้าสาว ทำให้อาหารโต๊ะจีนเสิร์ฟครบตั้งแต่ 10 โมงครึ่ง ญาติเจ้าสาวมา 11 โมง ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทำให้ตนเสียหน้ามาก แล้วเจ้าบ่าวยังมาบอกอีกว่า "กูอับอายแค่ไหนที่ทางญาติมึงทำกับกูแบบนี้" ตนถึงร้อง "ห๊ะ!"

แล้วที่น่าเกลียดมาก คือ แม่เจ้าบ่าวบอกว่า ยกซองให้ลูกชายและสะใภ้ แต่เขากลับหอบซองกลับไปหมดเลย ตนก็ถามเจ้าบ่าวว่า ทำไมแม่พี่ถึงทำกันแบบนี้ ก็ตกลงกันแล้วว่าจะเอาเงินซองจ่าย มันไม่มีใครหรอกที่จะมาแกะสินสอดมาจ่าย มันต้องถือเคล็ด ทางเจ้าบ่าวยังถือเคล็ดไม่แกะซอง แล้วฝ่ายเจ้าสาวถือเคล็ดไม่แกะสินสอดไม่ได้หรือยังไง

ส่วนจุดแตกหักที่ตัดสินใจเลิก คือวันที่ 19 มีนาคม ที่ตนกลับมาอยู่บ้าน ซึ่งก็บอกเจ้าบ่าวแล้วว่า กลับมาอยู่ถึงสิ้นเดือนนี้ เพื่อทำงานที่ร้านกาแฟให้ครบ ซึ่งเขาต้องการให้เราไปอยู่กับเขา ให้ไปทำไร่ ตนก็ตกลงกันแล้ว แต่เขากลับเอาเรื่องไปโพสต์ แล้วยังมาบอกตนว่า "คนนี้ดีกว่า คนนั้นดีกว่า" เอาเรื่องแฟนเก่ามาพูด "มึงรู้ไหมแฟนเก่าก็มางานนะ มึงไม่รู้หรือว่ามันมา" คือ มันเจ็บตรงนี้ ตนก็ตอบไปว่า "แล้วใครจะไปรู้หละ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องแบบนั้น" ทีนี้ก็ทะเลาะกัน

ตนก็ยังบอกกับเจ้าบ่าวเลยว่า ถ้าสิ้นเดือนตนไม่กลับไป ตนยินดีคืนสินสอดให้ เลยตนไม่เอา ทำให้เจ้าบ่าวคิดไปว่า ในเมื่อจบกันแล้ว สินสอดอยู่ครบไหมจะคืนยังไง ตนก็ตอบไปว่า "ไม่ได้จบแบบนั้นนะ ตนกับเจ้าบ่าวยังไม่ได้เลิกกันนะ" คือมันไม่ได้จบแบบนั้น พี่ต้องเข้าใจคำว่าการประชดคืออะไร เจ้าบ่าวก็ยังตอบมาว่า "ถ้าอยากคืนก็คืนได้ครับไม่มีปัญหา กูไม่ติดอยู่แล้ว" ตนก็มาทบทวนดูเหมือนเจ้าบ่าวไม่ได้แคร์ตนเลย บางทีการประชด อยากรู้ว่าเขาจะพูดอย่างไร ในเมื่อนำร่องไปขนาดนี้

ส่วนที่ไปโรงพัก จะไปลงบันทึกให้ตำรวจรู้ว่าเราจะคืนสินสอด แต่สุดท้ายคิดว่า มันคืนไม่ได้ ในเมื่อเขาให้ตนแล้วเป็นสินสมรสแต่งกัน ก็ต้องเป็นของฝ่ายหญิง ตนบอกว่าไม่คืน เขาก็บอกว่าทำไมไม่คืน จริงๆ ตนเสียหายนะแค่ไปอยู่ด้วยกันคืนเดียวก็เสียหายแล้ว เขาบอกว่า ในเมื่อตนจะคืนทำไมถึงไม่คืน ตนก็โมโหเลยบอกไปว่าให้ได้แค่ 5 หมื่น พูดแค่นี้แต่ "มึงกับกูต้องจบกันนะ" ห้ามมาระราน ห้ามมาแบบยุ่งอีกเลยนะ คือตอนนี้กลับอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว มันเสียความรู้สึกมาก



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/3_3u326kzNg

คุณอาจสนใจ

Related News