สังคม
เปิดไทม์ไลน์! แก๊งรีดเงิน 'อธิบดีกรมการข้าว' ทนายแฉมีนักการเมืองชื่อย่อ ป. ข่มขู่ให้หยุดทำคดี
29 ม.ค. 2567
97 views
ทนายอธิบดีกรมการข้าว ยอมรับหวั่นกลุ่มการเมือง ช่วยเหลือคดีให้ นาย จ. ไม่ต้องรับโทษในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด แต่จะให้รับโทษเหมือนพลเรือนทั่วไป เพราะโทษเบากว่าเยอะ พร้อมแฉมีนักการเมือง ชื่อย่อ ป. ข่มขู่ให้ยุติบทบาทในคดีนี้
นายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล ทนายความ และที่ปรึกษากฎหมายอธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยถึงไทม์ไลน์ ก่อนจะมีการจับกุม นายศรีสุวรรณ, เจ๋ง ดอกจิก และนางสาวพิมณัฏฐา ว่าก่อนหน้านี้มีบัตรสนเท่ห์ ส่งมาที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อร้องเรียนอธิบดีกรมการข้าว
โดยอธิบดีกรมการข้าวได้ถูกเรียกเข้าไปชี้แจง และยืนยันว่างบดังกล่าวได้โอนไปให้ ธ.ก.ส. แล้ว แต่ต่อมาอธิบดีกรมการข้าวได้มาปรึกษาว่าถูกคนกลั่นแกล้ง จึงมีการไปร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่
ต่อมาปรึกษาของผู้บริหารของกระทรวงเกษตรฯ เรียกอธิบดีกรมการข้าวเข้าไปพบ แม้อธิบดีกรมการข้าวจะยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับงบประมาณก้อนนี้
แต่ที่ปรึกษาของผู้บริหารของกระทรวงเกษตรฯ ได้แนะนำให้ไปเคลียร์กับ นาย ศ. เพื่อเรื่องจะได้จบ เพราะหากมีการแถลงข่าวจะทำให้เสียหาย และได้มีการนัดให้ไปให้ไปเจอที่บ้าน นาย ศ. เพื่อจ่ายเงินจำนวน 6 หลัก ซึ่งมากกว่า 1 แสนบาท ซึ่งตอนนั้นคิดว่าเรื่องจะจบ
จนวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา นาย ศ. และ นาย จ. ได้แถลงข่าวที่รัฐสภา เรื่องการทุจริตในกรมฝนหลวง และในช่วงท้ายได้พูดว่า กรมการข้าว แม้จะเป็นกรมเล็ก แต่มีการซุกงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาท และตั้งภรรยาผู้บริหารให้เปิดบริษัทรองรับการการทุจริต
และในวันเดียวกัน นาย ศ. ได้โทรมาหาอธิบดีกรมการข้าว แต่วันนั้นไม่ได้รับ วันรุ่งขึ้น นาย ศ. ได้โทรเข้ามาอีก โดยบอกว่าจะชวนมากินกาแฟตอนเที่ยง
เมื่ออธิบดีกรมการข้าวไปพบ นาย ศ. บอกว่าขณะนี้เตรียมตอบสอบงบประมาณ และเตรียมยื่นให้กรรมาธิการตรวจสอบ ซึ่งอธิบดีกรมการข้าว ตอบกลับว่า จะตรวจสอบอะไรเพราะไม่ได้ทำความผิด
เมื่อแยกย้าย นาย ศ. ได้โทรมาหาอธิบดีกรมการข้าวอีก และมีการเรียกเงินเพิ่ม อธิบดีกรมการข้าวจึงให้ภรรยาคุยแทน โดยนาย ศ. ได้เรียกเงิน 2 โล คือ 2 ล้านบาท ซึ่งภรรยาอธิบดีกรมการข้าวก็ย้ำว่า ทำไมต้องทำแบบนี้เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด หากจะดูแลกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ดูแลได้ จนสุดท้ายมีการต่อรองเงิน เหลือ 1 กิโลครึ่ง คือ 1 ล้าน 5 แสนบาท
จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหา ได้ขอให้โอนเงินมาก่อน 1 แสนบาท ซึ่งตนได้แนะนำให้ภรรยาอธิบดีกรมการข้าว โอนไปก่อน 5 หมื่นบาท ซึ่งพบว่าเลขบัญชีที่รับโอนไม่ใช่ชื่อของผุ้ต้องหาทั้ง 3 คน แต่กลับเป็นชื่อบัญชีของผู้ชายอีกคน
ต่อมากลุ่มผู้ต้องหาได้มีการเร่งให้โอนเงินไปให้ครอบ 1 แสนบาท ภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว จึงโอนเงินไปให้เพิ่มอีก 1 หมื่นบาท ในวันที่ 23 ธันวาคม ทั้งนี้เมื่อได้หลักฐานครบถ้วนแล้ว จึงได้เข้าปรึกษากับ ตำรวจ ปปป. จากนั้นจึงโทรศัพท์กลับไปหานาย ศ. พูดถึงเงินที่ยังเหลืออีก 1 ล้าน 4 แสนบาท
จนวันที่ 6 มกราคม ภรรยาอธิบดีกรมการข้าวได้ไปที่บ้านนาย ศ. เพื่อจ่ายเงินให้อีก 1 แสนบาท โดยมีการถ่ายคลิปขณะที่ นาย ศ. รับเงิน ซึ่งหลักฐานสำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถออกหมายจับ
และวันที่ 26 มกราคม ได้นำเงินไปให้ นาย ศ. ที่บ้านพัก อีก 5 แสนบาท และเข้าจับจับกุมนาย ศ. ได้อย่างที่ปรากฎตามข่าว
ทั้งนี้กังวลว่า อาจมีฝ่ายการเมืองเข้ามาช่วยเหลือ นาย จ. ให้ไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้ได้รับโทษน้อยลง จากความผิดที่เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ อัตราโทษจุกคุกตลอดชีวิต ก็จะเหลือเหมือนพลเรือน เป็นเพียงกรรโชกทรัพย์
และจะกระทบไปถึง นาย ศ. ที่จากเดิมเป็นข้อหาสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ก็จะไม่ใช่ข้อหานี้และได้รับโทษน้อยลง
ทั้งนี้หลังเกิดเรื่อง มีอดีตผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชื่อย่อ ป. ติดต่ออธิบดีกรมการข้าว และภรรยา ฝากให้ตนเบาๆ ในเรื่องนี้ และยุติบทบาท และยังพูดในทำนองข่มขู่ภรรยาอธิบดีกรมการข้าว ซึ่งทำธุรกิจฟาร์มหมูและฟาร์มไก่ ให้ไปเชื่อมโยงกับคดีหมูเถื่อนและตีนไก่เถื่อนด้วย
ขณะที่ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ทำให้วงการนักร้องเรียนสั่นสะเทือน เพราะพฤติกรรมของนักร้องเรียนที่ตบทรัพย์ จะมีการโพสต์ล่วงหน้าว่าจะร้องเรียนใคร หลังจากนั้นก็จะมีการยกเลิกหมายข่าว และเมื่อไปร้องเรียนจะเป็นการยื่นซองเปล่าไม่มีเอกสารอยู่ด้านใน มีเพียงกระดาษแผ่นเดียว และเมื่อถูกเรียกไปสอบสวนก็จะไม่ไปพบและเงียบหายไป
โดยลักษณะของคนเหล่านี้จะไม่มีอาชีพ ไม่มีหลักฐานการเสียภาษี แต่มีเงินใช้อยู่ตลอด ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ถูกร้องเรียนจะไม่กล้าเอาผิดคนกลุ่มนี้ จึงยอมจ่ายเงิน
ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องของการตบทรัพย์ล้วนๆ ส่วนตัวมองว่าคนกลุ่มนี้น่าจะทำมานานแล้ว