คลั่งระทึก! ชายโดดขวางถนน เอาเท้าเหยียบกระโปรงรถแท็กซี่ พลเมืองดีล็อกตัวหวุดหวิด

ระทึก! ชายคลั่งใช้เท้าเหยียบกระโปรงรถแท็กซี่ ตะโกนโวยวายลั่นถนน แหงนหน้าทะเลาะกับฟ้า สุดท้ายตำรวจ สน.ตลาดพลู และ วินจักรยานยนต์ พลเมืองดี จึงตัดสินใจเข้าล็อกตัวได้อย่างหวุดหวิด

เกิดเหตุชายคนหนึ่งใช้เท้าเหยียบไปที่หน้ากระโปรงรถแท็กซี่ สีชมพูขาว ตรงบริเวณถนนวุฒากาศ ใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสวุฒากาส กรุงเทพฯ ซึ่งจากคลิปจะเห็นว่าในระหว่างที่ชายคนนี้เหยียบกระโปรงรถแท็กซี่ มีตำรวจฝ่ายจราจร ของ สน.ตลาดพลู ได้พยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้หยุด แต่ชายคนนี้ก็ไม่ฟัง ขณะที่ในรถแท็กซี่ก็มีโชเฟอร์แท็กซี่ยังคงอยู่ในรถ

ตำรวจ สน.ตลาดพลู และ วินจักรยานยนต์จึงตัดสินใจเข้าล็อกตัว ซึ่งชายรายดังกล่าวก็พยายามต่อสู้ขัดขืน ทำให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องเข้ามาช่วยล็อกตัวชายคนดังกล่าว จากนั้นตำรวจ สน.ตลาดพลู จึงได้นำตัวชายคนนี้ไปส่งที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เนื่องจากพบว่ามีอาการคลั่ง

ล่าสุดทีมข่าวช่อง 3 ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ พบกับนายสมชาย เปรมเดช อายุ 62 ปี วินจักรยานยนต์ที่เข้าไปช่วยตำรวจจับชายคลุ้มคลั่ง โดยนายสมชายบอกว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตอน 08.00 น. ของวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา

โดยขณะที่ตนส่งผู้โดยสารเสร็จและกลับมาที่วินจักรยายนต์ ก็เห็นชายคนดังกล่าวพูดจาโวยวายคล้ายคนคลั่ง และก็ได้เท้าไปเหยียบที่กระโปรงรถแท็กซี่ที่วิ่งผ่านมา และยืนใช้เท้าเหยียบคากระโปรงรถแท็กซี่อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานจนทำให้การจราจรติดขัด

ต่อมาตำรวจ สน.ตลาดพลู มาถึงที่เกิดเหตุและได้เจราจากับชายคลั่งรายนี้แต่ไม่สำเร็จ ตำรวจจึงตัดสินใจเข้าล็อกตัว แต่ชายคลั่งได้ต่อสู้กับตำรวจ จึงตัดสินใจเข้าไปช่วย จนสุดท้ายชายคลั่งตะโกนว่ายอมแล้ว ตำรวจจึงได้คุมตัวมาสงบสติอารมณ์ที่ทางเท้าข้างทาง แล้วจึงนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา

ทั้งนี้ตนสังเกตว่าระหว่างที่ชายคลั่งรายนี้เหยีบกระโปรงรถแท็กซี่่ ได้แหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า แล้วตะโกนคนเดียวว่ากำลังทะเลาะกับคนอื่นอยู่ ทำให้ตนมั่นใจว่าชายคุ้มคลั่งรายนี้สติไม่ดีอย่างแน่นอน

ขณะที่ตำรวจ สน. ตลาดพลู บอกว่าจากการตรวจสอบพบว่าชายคลั่งรายนี้เป็นคนเร่ร่อนสติไม่ดี พักอาศัยอยู่บริเวณจุดเกิดเหตุ ตำรวจจึงนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ทั้งนี้ตำรวจไม่ได้ดำเนินคดีอะไร เนื่องจากโชเฟอร์แท็กซี่ไม่ได้เข้ามาแจ้งความหรือติดใจเอาความกับเรื่องที่เกิดขึ้น

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ :  https://youtu.be/N9C_6jCCXVI