สังคม
ตร.ยังไม่แจ้งข้อหาคนขับ 'เบนท์ลีย์' หลังซิ่งชนสนั่น 3 คันบนทางด่วน คาดรอผลตรวจแอลกอฮอล์
โดย JitrarutP
9 ม.ค. 2566
176 views
ตำรวจยังไม่แจ้งข้อหา “คนขับรถเบนท์ลีย์” หลังซิ่งบนทางด่วน พุ่งชนกับรถปาเจโร่ป้ายแดงพลิกคว่ำไปชนกับรถดับเพลิงที่กำลังไปปฏิบัติหน้าที่ คาดรอผลตรวจแอลกอฮอล์ ด้าน ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ชี้ คนขับเบนลี่ไม่ยอมเป่าวัดแอลกอฮอล์ เป็นการซื้อเวลา
นี่เป็นคลิปจากกล้องหน้ารถคันหนึ่งจับภาพวินาทีที่รถยนต์หรูยี่ห้อเบนท์ลีย์ ขับมาบนทางด่วนสาทร แล้วปาดจากเลนกลางเข้าซ้ายสุดก่อนจะปาดเข้าเลนกลาง ทำให้ไปชนกับรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ ปาเจโร่จน ปาเจโร่พลิกคว่ำ ไปกระแทกกับรถดับเพลิงที่วิ่งมาเลนขวาสุด ซึ่งกำลังไปร่วมปฏิบัติภารกิจดับเพลิงไหม้บ้านแถวอุดมสุข
ทำให้รถยนต์เสียหายจากอุบัติเหตุครั้งนี้ 3 คัน คันแรกเป็น รถยนต์หรูยี่ห้อเบนท์ลีย์ สปอร์ตสองประตู สีบรอน หน้ารถฝั่งขวาเสียหายเล็กน้อย ภายในรถถุงลมนิรภัยคู่หน้าทำงานทั้ง 2 ใบ และพบขวดไวน์อยู่ภายในรถ
คันที่ 2 คือ รถยนต์ ยี่ห้อมิตซูบิชิรุ่นปาเจโร่ สีดำ ป้ายแดง เสียหายทั้งคันหน้ารถพังยับเข้ามาถึงห้องผู้โดยสาร และคันที่ 3 เป็น รถกระบะ ดับเพลิงของอาสาสมัครดับเพลิงฐานฮารูน บางรัก หน้าด้านเสียหายทั้งหมด
หลังเกิดเหตุปรากฎว่าเจ้าของรถเบนท์ลีย์พาหญิงสาวเดินลงมาจากทางด่วนแล้วเรียกแท็กซี่ เพื่อจะหลบออกจากที่เกิดเหตุ แต่โชคดีที่อาสาสมัครกู้ภัยที่ตามมาสมทบเจอตัวพอดี จึงสกัดเอาไว้ได้ ก่อนจะคุมตัวไปที่ สน.ทางด่วน 1 ไปดูวินาทีเจอตัวเจ้าของรถเบนท์ลีย์
ด้านนาย ศราวุธ รีรักษ์ คนขับรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่ และ นางสาว ณิชชาวีณ์ ชาติสุริยพัฒน์ แฟนสาวที่นั่งมาในรถคันเดียวกันเล่าว่า เพิ่งออกรถคันนี้มาได้เพียง 21 วัน คือ เพิ่งออกป้ายแดงเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ในรถนั่งมา 6 คน เป็นผู้ใหญ่ 5 คนและเด็ก 4 ขวบอีกหนึ่งคน เพิ่งขับออกมาจากบ้านได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดบึงกาฬ ตั้งใจว่าออกรถแล้วจะกลับไปเยี่ยมบ้าน ตอนที่ขับบนทางด่วนใช้ความเร็วประมาณ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สักพักรู้สึกว่ามีการกระแทกอย่างแรงที่บริเวณด้านหลังก่อนรถจะหมุน และถูกกระแทกจากด้านข้าง ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดสงบนิ่งลง โชคดีที่ทุกคนในรถคาดเข็มขัดนิรภัยรวมถึงหลานวัย 4 ขวบ ทำให้ทั้งหมดไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ยกเว้นคุณพ่อที่แขนหักจากแรงกระแทก
หลังเกิดเหตุไปที่ สน.ทางด่วน 1 ปรากฎว่าเจ้าของรถเบนท์ลีย์ ปฏิเสธการเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่ตำรวจบอกว่าเป็นสิทธิ์ของเขาที่ทำได้ แต่ได้ส่งไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ คาดว่าผลจะออกวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งนัดเจรจากันวันนั้นอีกที
ขณะที่นาย อิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ อายุ 35 ปี ผู้ขับขี่รถดับเพลิงของอาสาสมัครฐานฮารูน บางรัก เล่าว่า หลังเกิดเหตุพอออกามจากรถ สังเกตเห็นว่าคนขับรถเบนท์ลีย์อยู่ในอาการมึนเมา ไม่พูดกับใครในจุดเกิดเหตุ ถือโทรศัพท์ตลอดเวลา พอไปถึง สน.ก็ปฏิเสธการเป่าเพื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์
แต่เบื้องต้นได้ทำข้อตกลงชดใช้ให้กับเขาแล้ว โดยการออกรถใหม่พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงให้เหมือนเดิม เพราะรถของเขาไม่มีประกัน เนื่องจากเป็นรถที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูง
กรณีที่ผู้ต้องหาไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ และยังไม่ได้แจ้งข้อหาคนขับรถเบนท์ลีย์ พันตำรวจเอก ณัฐพัฒนส์ ธรรมชุตินันท์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 2 ศูนย์ควบคุมจราจร ทางด่วน ทางพิเศษ กองบังคับการตำรวจจราจร บอกว่า ยังอยู่ระหว่างการรอผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด ซึ่งการตรวจเลือดจะได้ค่าที่แม่นยำกว่าการเป่าด้วยเครื่อง
ส่วนประเด็นที่มีการพูดถึงว่าก่อนหน้านี้กองบัญชาการตำรวจนครบาล เคยรณรงค์เกี่ยวกับการไม่เป่า เท่ากับ เมา แต่ทำไมยังไม่มีการแจ้งข้อหา ยืนยันว่า เคสนี้ไม่ใช่ไม่ยินยอมตรวจ เพราะการตรวจสามารถทำได้ทั้งการเป่าและการตรวจเลือด ซึ่งผู้ต้องหาไม่ยอมเป่าแต่ยอมตรวจเลือด และสามารถแจ้งข้อหาเมาแล้วขับได้ทันที แต่ที่ยังไม่ได้แจ้งเพราะต้องรอผลการตรวจอย่างเป็นทางการ
สำหรับเรื่องระยะเวลาที่เคยถกเถียงกันว่า หากทิ้งไว้นานก่อนจะส่งตัวไปตรวจสอบจะทำให้ผลค่าปริมาณแอลกอฮอล์เปลี่ยนไปหรือไม่ ในประเด็นนี้ได้พูดคุยกับแพทย์ผู้ทำการตรวจ ยืนยันว่าการตรวจหาวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด สามารถตรวจสอบย้อนหลังและสามารถเทียบระยะเวลาขณะเกิดเหตุได้เช่นกัน
ประเด็นผู้ขับเบนท์ลีย์ ไม่ขอเป่าแอลกอฮอล์ แต่เลือกขอตรวจผลเลือดแทน เรื่องนี้ นายแพทย์ ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน หรือ ศวปถ.กล่าวว่า แม้เป็นสิทธิ์ของผู้ขับขี่ตามกฎหมาย พ.ร.บ.จราจร ฉบับที่ 13 ที่แก้ไขเมื่อวันที่ 28 กันยายน ปีที่แล้ว ให้พนักงานสอบสวนมีข้อสันนิษฐาน ขอให้แพทย์เจาะตรวจเลือดได้เลย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับเคสที่หมดสติมากกว่า ซึ่งกรณีของผู้ขับเบนท์ลีย์ ส่วนตัวมองว่า เป็นการซื้อเวลา