สังคม

หนุ่มไรเดอร์ขาหักสุดทน เพื่อนบ้านเปิดเสียงสวดมนต์ดังสนั่น 3 เวลา ทำเอาแทบไม่ได้หลับได้นอน

โดย weerawit_c

27 ส.ค. 2566

739 views

จากกรณีที่ผู้เดือดร้อนรายหนึ่งส่งเรื่องร้องเรียนพร้อมคลิปวิดีโอไปยังเพจกล้าที่จะก้าว เพื่อขอให้ช่วยเหลือหลังถูกเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันเปิดเสียงสวดมนต์ดังสนั่นวันละ 3 เวลา บางวันยังแถมเสียงสวดมนต์รอบดึกให้อีก มานานเกือบ 2 ปี จนทำให้ไม่สามารถกินยาพักผ่อนได้เต็มที่ตามคำสั่งของแพทย์ แม้จะเคยแจ้งขอความช่วยเหลือจากตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบ สุดท้ายพอตำรวจกลับก็เปิดเสียงสวดมนต์เหมือนเดิม ยังถูกตะโกนด่าและขู่อาฆาตหาตัวคนแจ้งอีก


วันที่ 26 ส.ค.66 เมื่อเวลา 18.00 น. นายอธิวัฒน์ สิริกังวานวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจกล้าที่จะก้าว ลงพื้นที่เดินทางไปที่บ้านผู้ที่ได้รับการร้องเรียน หลังได้รับเรื่องขอความช่วยเหลือจาก นายก้อง มงกุฏเพชร อายุ 36 ปี อาชีพไรเดอร์ส่งอาหาร ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนไม่เป็นอันหลับนอน หลังเพื่อนบ้านที่รั้วกำแพงติดกันเปิดเสียงสวดมนต์ดังสนั่นไปทั้งซอย


โดยพบว่าบ้านพักของนายก้องนั้น เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น อยู่ติดกับบ้านเช่า ด้านหน้าบ้านนายก้องเป็นโรงจอดรถกว้างประมาณ 8 เมตร ส่วนที่นอนของนายก้อง อยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน เนื่องจากนายก้อง ได้รับบาดเจ็บขาหักและเส้นเอ็นขาดจากอุบัติเหตุ แพทย์จึงสั่งให้หยุดงานเพื่อพักรักษาตัวเป็นเวลา 3 เดือน ทำให้ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้นล่างของบ้านแทน เนื่องจากไม่สามารถเดินขึ้นห้องพักชั้น 2 ของบ้านได้ตามปกติ


นายก้อง มงกุฏเพชร เปิดเผยว่าหลังตนเกิดอุบัติเหตุจนต้องพักรักษาตัวอยู่กับบ้านมาประมาณ 1 เดือน แต่กลับไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอตามที่แพทย์สั่ง เพราะเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันได้ปล่อยบ้านให้กับนายบอล อายุ 40 ปี เป็นผู้เช่าต่อ และนายบอลมักจะเปิดเสียงสวดมนต์ดังเป็นประจำทุกวัน วันละ 3 เวลา บางวันก็ยังมีแถมรอบดึกระหว่างที่เขาขี่รถ จยย.กลับมาบ้านอีก โดยไม่เกรงใจเพื่อนบ้านหรือคนที่พักอยู่อาศัยในซอยเลย ทำให้ตนซึ่งต้องพักผ่อนหลังกินยาแล้วไม่สามารถนอนหลับได้


แม้ว่าตนจะเคยโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบแล้ว แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไปก็ถูกนายบอลผู้เช่าบ้านรายนี้ตะโกนด่าและพูดข่มขู่ต่างๆนานา โดยตนได้อัดคลิปความเดือดร้อนจากการเปิดเสียงสวดมนต์เอาไว้ จากบริเวณโรงจอดรถหน้าบ้าน เป็นเสียงสวดมนต์ที่เปิดผ่านลำโพงออกมาดัง


นายก้อง มงกุฏเพชร กล่าวอีกว่า ต่อมาตนได้ร้องเรียนไปที่เพจกล้าที่จะก้าว โดยอัดคลิปวีดีโอในขณะที่เพื่อนบ้านรายนี้เริ่มเปิดเสียงสวดมนต์ดังตั้งแต่แปดโมงเช้า ผ่านลำโพงออกมาดังมาก และเปิดบ่อยวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น แถมบางคืนยังเปิดเสียงสวดมนต์จากรถ จยย.ที่เขาขี่มาด้วย เสียงก็จะดังสนั่นซอยมาจนถึงหน้าบ้านตน และด้วยความดังของเสียงทำให้ตนซึ่งนอนหลับพักผ่อนอยู่ที่ชั้นล่างไม่เป็นอันหลับนอนได้ตามปกติ


จนครั้งหนึ่งตนเคยให้น้องชายเดินไปบอกนายบอลเพื่อนบ้านรายนี้ให้ลดเสียงสวดมนต์ลงหน่อย แต่เขาก็นิ่งเฉย ยังคงเปิดเสียงสวดมนต์ดังเหมือนเดิม ซึ่งเมื่อตนถูกฟังกรอกหูบ่อยๆ ก็รู้สึกว่าฟังแล้วมันน่ารำคาญมาก ถ้าเปลี่ยนมาเปิดเป็นเสียงเพลงเบาๆบ้าง ตนคิดว่าก็คงพอรับไหว ผลกระทบดังกล่าวทำให้สุขภาพตนไม่ดีขึ้นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายก็ฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่


นายก้อง กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนเคยได้ยินเขาตะโกนด่าทอ หลังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแจ้งเตือนแต่พอตำรวจกลับไปว่า พ่อเขาตาย เขาจะเปิดเสียงสวดมนต์ส่งไปให้พ่อของเขาที่เสียงชีวิตแล้วใครจะทำไม ถ้ามีปัญหามากระวังจะเจอลูกปืน ซึ่งตนก็มาทราบในภายหลังระหว่างที่ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านว่า เขาเปิดเสียงสวดมนต์ดังแบบนี้มานานแล้วประมาณ 2 ปี เพียงแต่ในช่วงที่ตนออกไปทำงานกลับมาดึกๆ ก็จะไม่ได้ยินเสียงสวดมนต์ที่เขาเปิด จึงไม่มีปัญหากันมาก่อน


จนกระทั่งตนมาเกิดอุบัติเหตุต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน จึงได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จริง ๆ ถ้าเขาจะเปิดเสียงสวดมนต์ด้วยเหตุผลนั้นก็เรื่องของเขา ตนไม่ได้ว่าอะไรแค่ช่วยลดเสียงเบาลงก็ได้แล้ว แต่มาในระยะหลังเขาเริ่มเปิดดังหนักขึ้นเรื่อยๆ จนตนทนไม่ไหวแล้วแทบไม่ได้พักผ่อนเลย จึงต้องถ่ายคลิปร้องขอความช่วยเหลือจากทางเพจ


ทางด้านนายอธิวัฒน์ สิริกังวานวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจกล้าที่จะก้าว กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เดือดร้อนรายนี้พร้อมคลิปวิดีโอที่ถ่ายไว้หลักฐาน ตรวจสอบดูก็พบว่าเป็นเสียงสวดมนต์ที่เปิดผ่านลำโพงค่อนข้างเสียงดัง ตนจึงลงพื้นที่มาตรวจสอบพบว่าบ้านที่เปิดเสียงสวดมนต์ดังเป็นเพื่อนบ้านที่มาเช่าอยู่อาศัยไม่ใช่เจ้าของ และเริ่มเปิดเสียงดังรบกวนชาวบ้านมาแล้วประมาณ 2 ปี แม้ผู้ได้รับความเดือดร้อนรายนี้จะเคยแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วแต่ทุกอย่างเหมือนเดิม


ยังคงเปิดเสียงสวดมนต์ดังรบกวนชาวบ้านในซอยอยู่เป็นประจำ ดังนั้นตนจะทำเรื่องประสานไปยังทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศบาลในพื้นที่ที่รับผิดชอบดูแล ให้ลงพื้นที่มาพูดคุยกับเจ้าของห้องเช่าและผู้เช่ารายดังกล่าวเพื่อหาแนวทางแก้ไขในการอาศัยอยู่ร่วมกันต่อไป โดยไม่ก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในซอยอีก

คุณอาจสนใจ

Related News