สังคม

'เงินบริจาค' ปรารถนาดี ที่ต้องมีระบบ

โดย thichaphat_d

6 เม.ย. 2565

94 views

"คนไทยใจบุญ" คำนี้ยังสะท้อนสภาพสังคมไทยได้เป็นอย่างดี แม้จะเกิดวิกฤตอะไร แต่คนไทยก็จิตใจเป็นกุศลพร้อมช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยเฉพาะในยุคโอนง่าย โอนเร็วในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากหลายข่าวที่ปรากฏ ที่ไม่วายจะเกิดดราม่าตามมา   


‘น้องน้ำซุป’ เด็กผู้หญิงสุดยอดกตัญญู ผู้ขอน้ำซุปทุกวันเพื่อเอาไปใว่ข้าวกินกันทั้งครอบครัว


เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้เกิดคลิปไวรัลไปทั้งประเทศ โดยเป็นการพูดคุยของแม่ค้าร้านอาหารอีสานคนหนึ่ง กับเด็กผู้หญิงมารยาทดี ที่มาขอน้ำซุปทุกวัน เพื่อนำไปใส่ข้าวกินประทังชีวิตทั้งครอบครัว 5 คน


เจ้าของร้านเล่าว่า เด็กคนนี้เดินมาขอแบบนี้ทุกวันเป็นเวลาปีกว่า โดยบอกว่าเอาไปเลี้ยงที่บ้าน 5 คนพ่อแม่ลูก ตนเห็นด้วยความสงสารก็อยากช่วยเหลือเขาซึ่งตนก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหากมีหน่วยงานที่ช่วยเหลือได้ก็จะดีมาก

ต่อมาก็มีผู้ไปตามหาทราบว่าเด็กคนดังกล่าวคือ เด็กหญิงเนตรชนก ศิลปะมา อายุ 6 ขวบ และยังมีน้องอีกสองคนที่ยังเล็ก

เด็กเล่าว่า ที่บ้านอยู่กัน 5 คน ซึ่งพ่อเด็กนั้นทำงานก่อสร้างมีรายได้วันละประมาณ 500 บาท แต่ก็ไม่ได้มีทุกวัน ขอเขาทำงานบ้าง ซึ่งช่วงที่ผ่านมาก็ไม่มีรายได้อะไรเลย ตอนนี้ก็มีบ้างไม่มีบ้าง ก็ใช้เงินไปไม่พอใช้ ต้องไปขออาศัยให้ลูกไปขอน้ำซุปเอามาคลุกข้าวกิน

จากนั้นก็มีการเปิดรับบบริจาคเพื่อช่วยเหลือ โดยยอดบริจาคก่อนปิดมีถึง 632,338 บาท ขณะที่แม่บอกว่าเงินส่วนนี้จะได้ไปทำบ้านพัก และเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้ลูกต่อไปในวันข้างหน้า


มีพ่อเมื่อพร้อม! เมื่อพ่อเอาเงินไปกินเหล้า เมาจนจะไปข่มขืนชาวบ้าน 





แต่ก็เกิดดราม่าเมื่อ วันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.เมืองชลบุรี ได้รับแจ้งมีเหตุทะเลาะวิวาท เมื่อไปถึงกลับพบแม่ของเด็กหญิงน้ำซุป ร่ำไห้ด้วยใบหน้าปูดบวม ศีรษะแตก

เธอเล่าว่า นายพรพรม ศิลปมา สามีเป็นคนเอาตะหลิวตี ชกต่อยหลายครั้ง สาเหตุอารมณ์เสียและหาว่าตนจะมีชู้ จะหอบเงินที่ได้รับบริจาคมาหลบหนีไป ซึ่งไม่เป็นความจริง

ตำรวจจึงไปจับกุม นายพรพรม ที่อยู่ในอาการเมาสุราอย่างหนัก ขณะที่ น.ส.แต๋น อายุ 40 ปี ได้มาให้ข้อมูล และกล่าวหานายพรพรม ว่าจะข่มขืนตน ก่อนที่จะตีเมีย

โดยเล่าว่า นายพรพรมได้บุกเข้าไปในบ้านตนที่อยู่ใกล้กันด้วยอาการเมา จากนั้นได้เข้ามากอดพยายามที่จะปลุกปล้ำ ได้ผลักตนล้มลง แต่ตนต่อสู้ จนนายพรพรมล้มกระเด็น แล้วตนก็วิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือจากร้านค้า และต่อมาก็ได้ข่าวว่ามาตบต่อยตีเมียจนหน้าบวมปูด

ซึ่งจากนี้ จะแจ้งไปยังพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ชลบุรี เป็นพยานจะไปอัพเดทเงินในบัญชีว่ามีเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งเอาไว้สร้างบ้าน ซึ่งตอนนี้ได้เช่าที่วัดนาเขื่อนไว้แล้ว ส่วนที่เหลือก็จะแบ่งเป็นทุนการศึกษาของเด็กหรือลูก 3 คน และจะแบ่งอีกส่วนเอาให้ไว้ใช้ในส่วนประจำวันครอบครัว โดยต้องบังคับกันเลย ถ้าไม่ทำอย่างนี้เงินส่วนนี้คงไม่เหลือแน่ ๆ




ขณะที่แม่ของเด็กหญิงได้ยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และจะไม่มีการประกันตัวนายพรพรมแต่อย่างใด


‘พ่อน้องน้ำซุป’ ไม่ใช่เคสแรก และ ไม่ใช่เคสเดียว

หลายๆ ครั้ง ที่ความมีน้ำใจของคนไทย อาศัยมือไว โอนไว ใจอ่อน ก็ทำให้มีทั้งมิจฉาชีพหลอกให้ช่วยโอนเงินค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหาร ค่าน้ำ-ไฟ และอื่นๆ

ถ้ายังมีใครจำได้ดี เมื่อปีที่แล้วได้มีกระแสดรามา จนเกิด #จนทิพย์ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ นั่นคือ เคสของ ‘น้องโวลต์’ นักเรียนหญิงอายุ 18 ปี ในจังหวัดกาฬสินธุ์ สอบติดแพทย์ แต่ทางบ้านมีฐานะยากจน มีเงินติดบ้านเพียง 1,500 บาท ทำให้มีผู้ใจบุญและชาวเน็ตพร้อมใจโอนเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวและเด็กนักเรียนหญิงคนนี้ จนได้เงินบริจาคกว่า 3.7 ล้านบาท




ต่อมา โลกออนไลน์แห่ติดแฮชแท็ก #จนทิพย์ หลังจับโป๊ะจากคลิปวิดีโอต่างๆ ของน้องโวลต์ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยมีชาวเน็ตตาดีเห็น ไอแพดโปร, แอปเปิล เพนซิล รวมทั้งขวดน้ำหอมดิออร์ และเรื่องการดัดฟัน ที่มีค่าใช้จ่ายหลายหมื่น

ซึ่งเรื่องดรามานี้ น้องโวลต์ เผยว่า รู้สึกเสียใจ อยากอธิบายเรื่องน้ำหอมตนไม่ได้ซื้อในหลักหมื่นเหมือนที่พูดกัน แต่ตนซื้อในราคาหลักร้อยมีหลักฐานการซื้อขายเช่นกัน ครอบครัวของตนก็ไม่ได้มีบ้านอีกหลังมีบ้านแค่หลังเดียวคือหลังที่พักอาศัยอยู่ด้วยกัน 6 คน ส่วนเรื่องโทรศัพท์ไอโฟนตนไม่ได้มี แต่มีไอแพดจริงๆ และตนก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังด้วย เพราะวันที่นักข่าวมาทำข่าววันแรกตนก็ยื่นให้เห็นซึ่งตนได้เก็บเงินซื้อเอง เพราะต้องใช้งานประกอบกับการเรียนออนไลน์ด้วย

ส่วนที่เลือกซื้อไอแพด เพราะมองว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ได้หลากหลายและคงทนสามารถใช้ได้นานหลายปีและเป็นตัวเริ่มต้นซึ่งตนก็พอสามารถผ่อนจ่ายได้ ซึ่งเงินที่ตนได้รับบริจาคมาตนยังไม่ได้ใช้สักบาทสามารถตรวจสอบได้ ตนอยากขอบคุณทุกคนที่โอนเงินมาช่วยเหลือ สัญญาว่าจะนำเงินทุกบาททุกสตางค์เพื่อใช้ในการศึกษาจนกว่าจะจบเป็นแพทย์ เพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างที่ตนได้ใฝ่ฝันเอาไว้




หรืออย่างกรณีของ นายเพทาย อายุ 27 ปี ซึ่งมีอาการตาบอด โรคความดัน โรคไต เบาหวาน นอนอยู่ที่ใต้สะพานข้ามคลอง แถววัดสลุด อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แล้วทางมูลนิธิร่วมกตัญญูเข้าไปช่วยเหลือ นำส่งโรงพยาบาลบางพลี จนนายเพทาย รักษาตัวอาการดีขึ้น รวมทั้งเปิดบัญชีรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือ

พี่สาวของนายเพทาย นำเงินบริจาคของน้องชายจำนวน 475,000 บาท ไปใช้หมดแล้ว โดย บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นัดมาเจรจากันที่ สภ.บางแก้ว บอกว่า ใช้กิน เที่ยว ซื้อของ โอนเงินเข้าบัญชี น้องชาย 70,000 บาท ซื้อแหวนให้น้องสะใภ้ครึ่งสลึง 2 วง สร้อยคอทองคำ 2 สลึง 1 เส้น รวมแล้วก็ไม่ถึงแสน สรุปว่าพี่สาวใช้เงินไปกับการกินเที่ยวเล่นกับสามี

“ผมเห็นสีหน้าของน้องเพทาย ที่ยังคงต้องรักษาเรื่องดวงตา เรื่องไต ความดัน เบาหวาน แต่ต้องมาเจอกับสภาพนี้ เขาไว้ใจพี่สาวมาก เขาหวังว่าพี่สาวจะดูแลเขา เขาจึงให้บัญชีพี่สาวกับผมมา แต่แล้วความหวังก็ได้พังทลายเพราะความโลภของพี่สาว ซึ่งไม่ได้มองเห็นอนาคตข้างหน้าเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เพทาย เหมือนกับจะร้องไห้เมื่อพี่สาวบอกว่าเงินหมดในบัญชีแล้ว จะให้ติดคุกก็ยอม จะให้ทำงานใช้หนี้ก็ยอม”

ไม่ใช่แค่คนธรรมดาเท่านั้น แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงก็เช่นกัน

โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2563 เมื่อ "ฌอน บูรณะหิรัญ" ไลฟ์โค้ชและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดัง ที่ตกเป็นข่าวความไม่โปร่งใสเรื่องเงินรับบริจาคช่วยอาสาสมัครดับไฟป่าดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่

จนมีตัวแทนกลุ่มดับไฟป่าร้องศูนย์ดำรงธรรมแม่ริม จ.เชียงใหม่ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะไม่มีหน่วยงานดับไฟป่าที่ไหนได้รับเงินช่วยเหลือจากนายฌอนเลย เรื่องที่เกิดขึ้นทางปลัดอำเภอแม่ริมได้ทำการตรวจสอบเส้นทางเงินและประสานไปทาง สภ.ปากเกร็ด รวมทั้งหาตัวบุคคลที่นายฌอนอ้างว่าได้ทำเรื่องรายงานผู้ใหญ่คนหนึ่งของเชียงใหม่รับทราบในเรื่องเงินบริจาคแล้ว




ต่อมา นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ ได้เดินหน้าตรวจสอบเส้นทางการเงินในการเรี่ยไรรับบริจาคของนายฌอน อย่างละเอียด และดูช่องกฎหมายในการดำเนินการกับนายฌอน ซึ่งในเรื่องนี้มีชาวบ้านและอาสาดับไฟป่าดอยสุเทพ ได้พากันมาติดตามเรื่องและขอให้ทางปลัดแม่ริมทำความจริงให้ปรากฏโดยให้นำตัวในฌอนมาชี้แจงและชดใช้ความผิดให้ได้

ซึ่งต่อมา แม้ว่าฌอนจะออกมาโชว์สเตทเม้นท์ของธนาคารกสิกรไทย สาขามีโชคพลาซ่า 050-8-34604-2 ธนาคารกสิกรไทย ชื่อ นาย ฌอน บูรณะหิรัญ แล้วก็ตาม

แต่เนื่องจาก การหายหน้าหายตาและการไม่รีบชี้แจงความจริง ก็ทำให้ยอดติดตามในโซเชียลต่างๆ ของฌอน จำนวนลดอย่างฮวบฮาบ และ ณ เวลานี้ ชื่อของเขาก็แทบจะไม่มีใครพูดถึงอีกเลย


ขอบริจาค หรือเรี่ยไร อย่างไร ไม่ให้ผิดกฎหมาย

ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมการเรี่ยไร พุทธศักราช 2487 ระบุว่า "การเรี่ยไร" หมายความรวมตลอดถึงการซื้อขาย แลกเปลี่ยน ชดใช้ หรือบริการ ซึ่งมีการแสดงโดยตรงหรือโดยปริยาย ว่ามิใช่เป็นการซื้อขาย แลกเปลี่ยน ชดใช้ หรือบริการธรรมดา แต่เพื่อรวบรวมทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมดหรือบางส่วนไปใช้ในกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นด้วย

ส่วนการขออนุญาตทำการเรี่ยไรในที่สาธารณะ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่อโทรทัศน์ จะต้องได้รับอนุญาตจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และจะต้องระบุวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน กำหนดวิธีการที่จะทำการเรี่ยไร จำนวนเงินที่ต้องการเรี่ยไร และสถานที่ทำการเรี่ยไร รวมทั้งผู้ที่ได้รับอนุญาตจะไม่สามารถเดินไปขอเรี่ยไรตามหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ นอกเหนือจากที่ขออนุญาตไว้ ตลอดจนกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการเรี่ยไรและระยะเวลาสิ้นสุดไว้อย่างชัดเจน




ทั้งนี้ ผู้ที่ขออนุญาตจะต้อง

1.    มีอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีบริบูรณ์

2.    ไม่มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

3.    ไม่เป็นโรคติดต่อที่น่ารังเกียจ

4.    ไม่เคยต้องโทษฐาน ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ รับของโจร หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายลักษณะ และพ้นโทษมาแล้วยังไม่ครบ 5 ปี

5.    ไม่เป็นบุคคลที่มีความประพฤติหรือหลักฐานไม่น่าไว้ใจ

ผู้ได้รับอนุญาตให้ทําการเรี่ยไรต้องมีใบอนุญาตติดตัวอยู่ในขณะทําการเรี่ยไร และต้องให้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลผู้ประสงค์จะเข้าส่วนในการเรี่ยไรตรวจดูเมื่อเจ้าหน้าที่หรือบุคคลนั้นเรียกร้อง

และห้ามมิให้ใช้ถ้อยคำหรือวิธีการใดๆ ซึ่งเป็นการบังคับขู่เข็ญผู้ที่ถูกเรี่ยไรโดยตรงหรือโดยปริยาย หรือซึ่งจะทำให้ผู้ถูกเรี่ยไรเกิดความหวาดหวั่นหรือเกรงกลัว หากฝ่าฝืน มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี

ขณะเดียวกันการขอรับบริจาคนั้น หากมีการหลอกลวงหรือมีเจตนาในการฉ้อโกง หรือฉ้อโกงประชาชน ก็จะมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือมาตรา 343 แล้วแต่กรณี

รวมไปถึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และอาจจะถูกตรวจสอบทรัพย์สิน เนื่องจากความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชนนั้น เป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อีกด้วย

คุณอาจสนใจ

Related News