เปิดหลักฐาน สคบ.พบพิรุธ 'ดิไอคอน' ถูกร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 2561

การร้องเรียนถึงความผิดปกติในบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปเริ่มมาตั้งแต่ปี 2561 โดยบริษัทไม่ได้รับการจดทะเบียน ให้ทำธุรกิจแบบขายตรง แต่บริษัทได้มีการชักชวนสมาชิกอันเข้าข่าย พรก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน แต่ผู้ที่ทำหนังสือแจ้งไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้องเมื่อปี2561 กลับมามีชื่อปรากฏอยู่ในคลิปเสียงปริศนา



เริ่มจดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 โดยมีกรรมการบริษัทคือนายวรัตน์พล หรือนายพอล ซึ่งได้ยื่นขอจดทะเบียนเป็นธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงแต่ได้รับอนุญาตให้เป็นธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ผ่าน การประกอบเป็นธุรกิจขายตรง จากหลักฐานของเอกสารทั้งสามฉบับ ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือสอคอบได้พบปัญหาการทำธุรกิจของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ตั้งแต่กรกฎาคม 2561



โดยขณะนั้นพบว่าบริษัทเปิดรับสมัครผู้จำหน่ายโดยการจองสิทธิ์สองระดับคือดิลเลอร์ ชำระค่าจองสิทธิ์ 50,000 บาทต้องซื้อสินค้า 205,000 บาทถึง 1,080,000 บาทระดับ Exclusive Dealer ต้องชำระค่าจองสิทธิ์ 100,000 บาทต้องซื้อสินค้าเป็นเงิน 1,750,000 ถึง 18 ล้านบาท



จะได้รับผลตอบแทนเป็นทองคำตั๋วเครื่องบินและเงินอันมีลักษณะการลงทุน ทาง สคบ.แจ้งว่าอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พรก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน โทษ จำคุกห้าปีถึง 10 ปีปรับตั้งแต่ 500,000 ถึงหนึ่งล้านบาทและยังปรับวันละ 10,000 บาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน จึงส่งหนังสือ3 ฉบับไปยัง3 หน่วยงานทั้ง สคบ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ อย. แต่เรื่องเงียบหายไปทั้งหมด ตลอดเวลาที่ไม่สามารถเอาผิดได้ ทำให้มีผู้ปล่อยคลิปเสียงว่ามี เทวดาใน สคบ.



พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ ระบุว่า เคยดำรงตำแหน่ง ผอ.กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรงในปี 2561 ซึ่งมีชื่อในคลิป ได้ออกมายืนยันผ่านรายการโหนกระแส ว่าเคยพบนายพอล 2 ครั้ง ตามภาพถ่ายที่มีลูกน้องคนหนึ่งที่รู้จักกับนายพอลเป็นผู้ถ่ายภาพ และหลังจากมีคลิปเสียง พูดถึงชื่อของตน ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นเทวดา ใน สคบ. และเมื่อปี 2561 ก็เป็นผู้ทำหนังสือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง



ขณะที่ทีมทนายความที่พาผู้เสียหายไปแจ้งความเปิดเผยข้อมูลว่า มีการจ่ายเงินให้เทวดาหลายหน่วย ไม่ต่ำกว่า 5 หน่วย



ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก กล่าวว่า ได้ส่งคลิปเสียงไปให้หน่วยพิสูจน์หลักฐานแล้ว และจะเรียกนายพอลมาสอบปากคำ



จาก 6 ปี ที่บริษัทเริ่มก่อตั้งขึ้น เมื่อมีผู้ร้องเรียน แต่ไม่ได้รับการแก้ไขและเรื่องเงียบมาโดยตลอด ทำให้ปัจจุบันเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ซึ่งผู้เสียหายระบุว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำกฎหมายให้ ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่รับผลประโยชน์