นับถอยหลังอีก 27 วัน คดีตากใบจะหมดอายุความ มูลนิธิฯ ยื่นหนังสือถึง นายกฯ เร่งตร.ติดตามจับกุมจำเลย

เหลือเวลา 27 วัน ที่คดีตากใบ จะหมดอายุความมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เร่งรัดตำรวจติดตามจับกุมจำเลย ขณะที่คณะกรรมาธิการกฏหมาย สภาผู้แทนราษฎร จะเชิญตำรวจ มาชี้แจง ในวันที่ 9 ตุลาคมนี้


มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยื่นหนังสือถึงแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย แสดงความกังวลในการติดตามจับกุมจำเลย และผู้ต้องในคดีตากใบ ก่อนหมดอายุความ วันที่ 25 ตุลาคม 2567 โดยจำเลยที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่รัฐ จะไม่มาศาลตามนัดทำให้คดีหมดอายุความ และนอกจากนี้มีข่าวด้วยว่าอาจมีจำเลยบางคน ที่เดินทางออกไปนอกประเทศไทยแล้ว ในคดีที่ศาลจังหวัดนราธิวาส โดยมีครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์ตากใบเป็นโจทก์ 48 คน ฟ้องคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสลายการชุมนุมหน้าสภ. ตากใบ โดยเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ศาลได้ออกหมายจับจำเลย6 คน เพื่อนำตัวมาศาลก่อนหมดอายุความ และส่งหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรฯ เพื่อขออนุญาตให้จับจำเลยที่ 1 พล.อ.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี สส.พรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 1 มาศาลในนัดหน้า วันที่ 15 ตุลาคม 2567 เวลา 09.00 น.


และเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 อัยการสูงสุดได้แถลงข่าวมีคำสั่งฟ้องคดีตากใบ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐ 8 คน ตกเป็นผู้ต้องหา โดยมีผู้ต้องหาที่ 2-6 เป็นพลขับรถในวันเกิดเหตุ ในขณะที่ผู้ต้องหาที่ 1 พลเอกเฉลิมชัย วิรุฬเพชร ยังเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีของศาลจังหวัดนราธิวาสอีกด้วย อัยการสูงสุดระบุว่าได้แจ้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำบุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีตากใบอีก 7 คนมาฟ้องศาลให้ทันก่อนอายุความสิ้นสุดลงเช่นเดียวกัน


มูลนิธิผสานวัฒนธรรใ ขอให้นายกรัฐมนตรี และกมธ.ยุติธรรมฯ ตรวจสอบอย่างเร่งด่วนว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด ติดตามค้นหา สืบเสาะ ประกาศจับ รวมทั้งออกหมายค้นหากพบว่ามีการให้ที่พักพิงหรือหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดในประเทศไทย หรือมีการกำชับเรื่องการเดินทางออกนอกประเทศของบุคคลที่มีหมายจับคดีสำคัญนี้ และขอให้รับรองต่อสาธารณชนว่าคดีตากใบเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่จำต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม นิติธรรม และสิทธิมนุษยชน สร้างบรรทัดฐานและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในสายตาของประชาคมโลก